- ชุมชนคือหนึ่งในผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สำคัญต่อ ไทยเบฟ เรามุ่งมั่นที่จะสร้างความมั่นคงและยั่งยืน ให้ชุมชนและสังคมเติบโตควบคู่กับธุรกิจของเรา โดยให้ความสำคัญในการพัฒนาชุมชนและสังคม อย่างต่อเนื่องมากว่า 15 ปี
- ดำเนินโครงการพัฒนาชุมชนในหลากหลายด้าน มีเป้าหมายสำคัญคือ ชุมชนต้องพึ่งพาตัวเองได้อย่างยั่งยืน และเป็นต้นแบบสำหรับการพัฒนาให้พื้นที่อื่นต่อไป
- สร้างกลุ่มผู้นำเยาวชนเพื่อส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ และยังเชื่อมโยงขยายผลจากเยาวชนไปสู่ภาคส่วนต่างๆ ทั้งหมดของชุมชน
- พัฒนาเศรษฐกิจชุมชน โดยผ่านการดำเนินโครงการไทยเบฟ ร่วมสร้างต้นแบบตำบลสัมมาชีพให้กับชุมชนเพื่อลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ โดยไม่เบียดเบียนตนเอง ผู้อื่น และสิ่งแวดล้อม
- บริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ฟื้นฟู เพิ่มพื้นที่ป่าและแหล่งน้ำ โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ตั้งแต่ลงพื้นที่ชวนชุมชนร่วมคิดหาแนวทาง ร่วมกันลงมือทำ พร้อมทั้งร่วมกันพัฒนาบริหารจัดการ
แบ่งปันคุณค่า
คุณธารทิพย์ ศิรินุพงศ์
|
จุดเริ่มต้นในการปรับเปลี่ยนรูปแบบกิจกรรมเพื่อสังคมสู่การสร้างความยั่งยืนของชุมชน
ไทยเบฟมีแนวคิดว่า การที่เราเติบโตทางด้านธุรกิจตามลำดับขั้นนั้นยังไม่เพียงพอ แต่จะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อองค์กรได้แบ่งปันคุณค่านั้นกลับคืนสู่สังคมด้วย ด้วยเหตุนี้ คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ จึงดำริให้จัดตั้งหน่วยงาน โครงการพัฒนาชุมชน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของแนวคิดการพัฒนาแบบยั่งยืนโดยสร้างความเข้มแข็งของชุมชน และสร้างพื้นที่ต้นแบบที่ให้การสนับสนุนระหว่างชุมชนที่เข้มแข็ง
กับภาคธุรกิจ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดรายจ่าย เพิ่มรายได้
โดยไม่เบียดเบียนตนเอง ผู้อื่น และสิ่งแวดล้อม ภายใต้โครงการ ไทยเบฟร่วมสร้างชุมชนดีมีรอยยิ้ม
สร้างรูปแบบการทำงานแบบมีส่วนร่วมระหว่างองค์กรกับชุมชน
ไทยเบฟมุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งจากภายในชุมชนและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นในทุกด้าน เพื่อนำไปสู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจชุมชน ควบคู่ไปกับการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างองค์กรกับชุมชน โดยร่วมมือกับชุมชนในการคิดและพัฒนาให้เกิดการเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน ขณะเดียวกันส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อสร้างการทำงานร่วมกันแบบยั่งยืน สร้างความผูกพันในพื้นที่ และสร้างความเข้าใจที่ดีต่อองค์กร ซึ่งนำไปสู่การลดหรือป้องกันความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับองค์กรได้อย่างยั่งยืน
ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากโครงการพัฒนาชุมชน
เราเชื่อว่าการสร้างความเข้มแข็งในรูปแบบดังกล่าวจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของชุมชน ส่งผลให้คนในชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น เกิดการ
รวมกลุ่มกันเป็นวิสาหกิจชุมชน มีระบบการบริหารจัดการน้ำเพื่อใช้ทำการเกษตรในชุมชน และเกิดพื้นที่สีเขียวผ่านการฟื้นฟูป่าไม้ และเมื่อเกิดความมั่นคงแล้ว ชุมชนเองก็สามารถแบ่งปันคุณค่าของการเติบโตโดยการขยายองค์ความรู้และแนวทางการทำงานของตนเองไปสู่ชุมชนใกล้เคียง ซึ่งจะสร้างความยั่งยืนให้กระจายไปในระดับท้องถิ่นและนำไปสู่การพัฒนาระบบเศรษฐกิจในระดับประเทศได้อย่างแท้จริง
ภารกิจสำคัญ | โครงการไทยเบฟ...รวมใจต้านภัยหนาว ปีที่ 19 |
เพื่อให้ความช่วยเหลือ แบ่งปัน และสนับสนุนการดำเนินงานด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวของรัฐบาล โครงการ
ไทยเบฟ...รวมใจต้านภัยหนาว ปีที่ 19 ยังคงเดินหน้าส่งมอบผ้าห่มผืนเขียวอันเป็นสัญลักษณ์ของความอบอุ่นปีละ 200,000 ผืน ในพื้นที่ประสบภัยหนาว 15 จังหวัด ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เนื่องจาก
พี่น้องที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจำนวนมากของประเทศไทย
ยังคงขาดแคลน ไม่มีเสื้อผ้าหรือผ้าห่มคลายหนาวอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะพื้นที่แถบภูเขาสูงที่มีเส้นทางทุรกันดารและยาก
ต่อการเข้าถึง โดยไทยเบฟร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย รวบรวมข้อมูลผู้ประสบภัยหนาวและจำนวนประชากรผู้ประสบภัยในแต่ละจังหวัด จากนั้นผ้าห่มจะถูกลำเลียงไปยังพื้นที่เพื่อส่งมอบให้พี่น้องในช่วงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ก่อนที่ภัยหนาวจะมาเยือน ซึ่งตลอด
ระยะเวลา 19 ปี ผ้าห่มจำนวน 3,800,000 ผืน ได้กระจายไปสู่ผู้ประสบภัยครอบคลุม 45 จังหวัด 578 อำเภอ
นอกจากการมอบผ้าห่ม ยังมีความช่วยเหลือด้านอื่นๆ ที่ไทยเบฟได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรหลายภาคส่วน เช่น การตรวจสุขภาพเบื้องต้นโดยหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ กิจกรรมส่งเสริมทักษะด้านดนตรี กีฬา ศิลปะ ให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่
และการมอบอุปกรณ์การเรียนการสอนและทุนการศึกษา
ให้แก่โรงเรียนที่ขาดแคลน
คุณธงชัย คุณาพรหม
|
พวกเราดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ไทยเบฟจัดโครงการมอบผ้าห่ม ให้กับชาวบ้านในชุมชนนี้ และรู้สึกประทับใจที่ไทยเบฟเห็นถึงความสำคัญของชาวบ้านในชุมชนนี้ ขอขอบคุณไทยเบฟที่มีส่วนมาเติมเต็มให้กับชุมชนของเรา และอยากให้มีโครงการดีๆ แบบนี้อีกในครั้งต่อๆ ไป และขอขอบคุณไทยเบฟที่มอบอุปกรณ์ การเรียนการสอนให้กับน้องๆ นักเรียน ขอบคุณมากๆ ครับ
ด้านกีฬา:
ร่วมกับโครงการ Chang Mobile Football Unit นำผู้ฝึกสอนด้านกีฬามาให้ความรู้และฝึกสอนทักษะพื้นฐานให้เยาวชนเหมือนกับการฝึกนักกีฬามืออาชีพ โดยมีบุคคลที่มีชื่อเสียงจาก หลายหน่วยงานหมุนเวียนมาร่วมกิจกรรม เช่น สมาคมวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย หรือสโมสรฟุตบอลชื่อดังของจังหวัด ซึ่งนอกจาก จะสอนเทคนิคพื้นฐานด้านกีฬาแล้ว ยังปลูกฝังแนวคิดเรื่องการรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย และมีน้ำใจนักกีฬา เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับการดำเนิน ชีวิตในทุกสถานการณ์
ด้านดนตรี :
ได้รับความร่วมมือจากมูลนิธิอาจารย์สุกรี เจริญสุข นำวิทยากรช่วยฝึกสอนเทคนิคพื้นฐานให้เด็กๆ ที่สนใจ สามารถ ร้องเพลงและเล่นดนตรีได้ถูกต้องตามมาตรฐานสากล รวมทั้งเสริมทักษะให้กับวงดุริยางค์และวงดนตรีสากล โดยจะเน้นเพลงที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น เพลงชาติ นอกจากนี้ ยังช่วยต่อยอดให้เด็กและ เยาวชนที่มีความสามารถทางดนตรีได้เห็นแนวทางการพัฒนา ไปสู่ความเป็นเลิศในอนาคต
ด้านศิลปะ:
จัดกิจกรรมสอนการนำศิลปะมาต่อยอดเป็นชิ้นงานสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้งานได้จริง เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ สร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ และยังสร้างรายได้ให้กับนักเรียนและชุมชนจากสิ่งของเหลือใช้
ตลอดระยะเวลากว่า 7 ปี โครงการชุมชนดีมีรอยยิ้มช่วยเสริมทักษะ จุดประกายความคิดสร้างสรรค์ และสร้างแรงบันดาลใจ ให้เด็กๆ ในชุมชนรอบโรงงานในเครือไทยเบฟ ครบทั้ง 21 แห่ง และขยายผลไปยัง โรงงานน้ำตาล 3 แห่ง โดยครอบคลุม 61 จังหวัดในประเทศไทย
ด.ช.ศักดิ์สิทธิ์ ศิลป์สร
|
ผมชอบเรียนวิชาศิลปะอยู่แล้วครับ คุณครูเลยแนะนำให้เข้ามาทำกิจกรรมนี้ พอได้ทำแล้วก็ทำไม่ยาก ได้ความรู้ ได้เพื่อนใหม่ๆ และได้สมาธิครับ ผมชอบ รังไหมที่เป็นวัสดุจากธรรมชาติที่มีอยู่ในชุมชน เราไม่ต้องลงทุนเยอะก็สามารถมีพวงกุญแจน่ารักๆ เอาไปห้อยกระเป๋า และยังสร้างรายได้ให้ผมและเพื่อนๆ อีกด้วยครับ
จากความตั้งใจของชุมชนและการสนับสนุนของภาคธุรกิจและองค์กรภาคี จึงเกิดแนวคิด การบริหารจัดการน้ำต้นทุนในพื้นที่การเกษตรผสมผสาน เพื่อต่อยอดและขยายแนวคิด 1 ไร่ เกษตรอินทรีย์ โดยมีเป้าหมายเพื่อการฟื้นฟูป่าต้นน้ำน่าน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชนอย่างสิ้นเชิง
แต่ความท้าทายอีกอย่างหนึ่งคือ ทำอย่างไรจึงจะนำน้ำขึ้นมายังพื้นที่การเกษตรที่อยู่บนภูเขาสูงได้ ไทยเบฟจึงร่วมกับชุมชน พัฒนาระบบ “ตะบันน้ำ” ขึ้นที่สูง และสร้างฝาย 3 จุด เพื่อใช้เก็บกักน้ำเพื่อการเกษตร พร้อมกันนี้ได้ผลักดันให้ชุมชนจัดตั้งกติกาและระเบียบการใช้น้ำและกองทุนการใช้น้ำ ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกัน และนำกองทุนดังกล่าวมาใช้ในการซ่อมแซมกรณีชำรุดเสียหาย เพื่อให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตัวเองได้โดยไม่ต้องรอ งบประมาณจากภาครัฐ นอกจากนี้ยังร่วมกันพัฒนาระบบประปาภูเขาระยะทาง 9,622 เมตร โดยมีพื้นที่รับประโยชน์ประมาณ 1,000 ไร่
ในการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำเพื่อทำการเกษตร ในพื้นที่สูง ผลสำเร็จที่ได้คือ
- ระบบตะบันน้ำ : 11 จุด พื้นที่รับประโยชน์ 11 ไร่
- ระบบฝายชะลอน้ำ: 8 ฝาย พื้นที่รับประโยชน์ 24 ไร่
- ระบบประปาภูเขา: ระยะทาง 9,622 เมตร พื้นที่รับประโยชน์ 1,000 ไร่
- สมาชิกผู้รับประโยชน์ 35 ราย ปริมาณน้ำจำนวน 15 ถัง 1,178.1 ลิตร เท่ากับ17,671.5 ลิตร (17.67150 ลูกบาศก์เมตร)
- เกษตรกรในตำบลบัวใหญ่ได้ปรับเปลี่ยนเป็นเกษตรอินทรีย์แล้ว 34 ราย จำนวน 36 แปลง ในพื้นที่ 146.1 ไร่ ภายใต้ระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม
- เกิดกลุ่มเกษตรอินทรีย์ตำบลบัวใหญ่ที่มีจำนวนสมาชิก 163 ราย จำนวน 815 ไร่ โดยส่งเสริมให้ปลูกไม้สามอย่าง ประโยชน์สี่อย่าง เพื่อทดแทนการปลูกพืชเชิงเดี่ยว และสามารถปลูกพืชรายวัน รายเดือน รายปี และส่งเสริม การปลูกพืชอินทรีย์ คือ ฟักทองอินทรีย์ (ระยะปรับเปลี่ยน) สายพันธุ์พื้นเมือง ได้แก่ สายพันธุ์คางคก ไข่เน่า ซึ่งมีเกษตรกรปลูกจำนวน 50 ราย
- สร้างรายได้เพิ่มให้กับชุมชน โดยเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ผ่านห้างโมเดิร์นเทรด เช่น ฟักทองอินทรีย์ (ระยะปรับเปลี่ยน) รายได้มูลค่ารวมในปี 2561 จำนวน 300,000 บาท
นายสมบุญ คำรม
|
ก่อนหน้าที่จะทำตะบันน้ำ ลุงเคยทำกาลักน้ำมาก่อน แต่ว่า ล้มเหลว พอได้รับความรู้และการสนับสนุนจากไทยเบฟ และรู้วิธีการดึงน้ำขึ้นสู่ที่สูงจึงได้ลองทำตะบันน้ำดู ซึ่งก็ได้ผลดีมากตอนนี้สามารถปั๊มน้ำขึ้นมาเก็บไว้ในแท็งก์ด้านบน และกระจายน้ำใช้ได้ในทุกจุดแปลงเกษตรในกลุ่มต่างๆ อีก 5 ครัวเรือน ที่ต้องใช้น้ำร่วมกัน
ผลลัพธ์
- พื้นที่ป่าชายเลนเพิ่มขึ้นจำนวน 50 ไร่
- จำนวนต้นไม้เพิ่มขึ้น 40,000 ต้น นำไปสู่ประโยชน์ด้านระบบนิเวศชายฝั่งและเอื้อต่อการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำกว่า 70 ชนิด
- เพิ่มรายได้ให้ชุมชนเขตบางขุนเทียน ในการปลูกและดูแลรักษาต้นไม้ในระยะเวลา 3 ปี
ในปี 2560 ชุมชนเป้าหมายทั้ง 2 หมู่บ้าน จำนวน 150 คน ได้รับการอบรม เรียนรู้และรับมอบปัจจัย วัตถุดิบต่างๆ ในการเลี้ยงสัตว์และพืชเพื่อบริโภคในชีวิตประจําวันและเป็นการลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนเบื้องต้น โดยมุ่งหวังว่า เมื่อเลี้ยงไปได้ระยะหนึ่งแล้ว หากมีเหลือจากการบริโภค กลุ่มเกษตรกรจะสามารถรวมกลุ่มกันเพื่อจําหน่ายสินค้าที่มีมาตรฐานต่อไป ซึ่งในปี 2561 พบว่าชุมชนในทั้ง 2 พื้นที่ สามารถมีรายได้จากการเลี้ยงปศุสัตว์เพิ่มขึ้นร้อยละ 150-220
คุณประโภชฌ์ สภาวสุ
|
ไทยเบฟมองเห็นโอกาสในการพัฒนาพื้นที่ป่าสงวนที่ถูกแผ้วถางป่าเป็นบริเวณกว้างมานานหลายชั่วอายุคน ในสภาพปัจจุบันพื้นที่เป็นป่าเขาหัวโล้นโดยรอบ และเมื่อรัฐบาลเข้ามาควบคุมอย่างจริงจัง ชาวบ้านจึงหมดหนทางทำมาหากิน หน้าที่สำคัญที่ถือเป็นภารกิจเร่งด่วนของไทยเบฟคือ จะทำอย่างไรให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ มีอาหาร มีโปรตีนกินและอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน ผมได้พาชุมชนไปศึกษาดูงานที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ได้เปิดโอกาสให้ชุมชนศึกษาดูงานโดยรอบศูนย์ฯ และตัดสินใจที่จะหาสิ่งที่ตนสนใจและคิดว่าถนัด บางคนสนใจอยากเลี้ยงสุกร ปลาดุก กบนา ไก่ไข่ หรือเพาะเห็ดนางฟ้าภูฏาน เราก็พร้อมที่จะสนับสนุนปัจจัยต่างๆ ให้ โครงการเราทำต่อเนื่องและจริงจัง ตลอดระยะเวลา 5 ปี เราได้ให้การสนับสนุน ต่อยอด และขยายผลจนชุมชนที่ประสบความสำเร็จหลายคนได้รับการสนับสนุนในระดับของเกษตรกรตัวอย่างและคาดว่าอีกไม่นาน เราอาจจะได้ศูนย์ฯเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงขึ้นในพื้นที่แห่งนี้ก็เป็นได้ สิ่งที่น่าภูมิใจคือเราได้เป็นผู้ให้โอกาสแห่งการเรียนรู้ตามแนวทางที่ถูกต้อง เป็นแนวทางแห่งศาสตร์พระราชา และช่วยให้ชุมชนมีรายได้ สามารถลดรายจ่ายครัวเรือนได้อย่างเป็นรูปธรรม
คุณเครือวัลย์ ไชยเรียน (คนซ้าย)
|
ได้รู้จักโครงการนี้มาตั้งแต่ปี 2558 สบายใจดี อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากเลี้ยงอะไรเขาก็มีมาให้ ตั้งแต่แรกทีมงานพาพวกเราไปที่ศูนย์ฯห้วยฮ่องไคร้ ดอยสะเก็ด เชียงใหม่ ได้เรียนรู้ว่ามีการเลี้ยงสุกร ปลา ไก่ไข่แบบที่ถูกต้องเขาทำกันอย่างไร แล้วเราก็เริ่มเลี้ยงหมูเรื่อยมาแบบที่เขาสอน ปัจจุบันเราเลี้ยงหมู ผสมพันธุ์หมูได้เอง และสามารถออกลูกได้คราวละไม่ต่ำกว่า 10 ตัว ขายได้ราคาดี และไม่ต้องใช้ชีวิตเกี่ยวข้องกับการปลูกข้าวโพด ใช้สารเคมีอีกต่อไป
ปัจจุบันมีผู้พิการและผู้ดูแลผู้พิการเข้าร่วมโครงการแล้วจำนวน 111 ราย ได้ผลผลิตที่ดี มีคุณภาพและปลอดภัย มีปริมาณเพียงพอสำหรับการบริโภคภายในครัวเรือน และแบ่งสรรสำหรับจำหน่ายในพื้นที่ เช่น การเลี้ยงไก่ไข่สามารถสร้างรายได้เฉลี่ยเดือนละ 2,178 บาท การปลูกพืชด้วยระบบไฮโดรโปนิกส์ และการเพาะเห็ดเศรษฐกิจสร้างรายได้เฉลี่ยเดือนละ 1,830 บาท อีกทั้งยังเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ของเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อนำไปเป็นแบบอย่างให้เกิดการ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และนำไปสู่การพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
- โครงการ 1 ตำบล 1 สัมมาชีพ มุ่งเน้นการขยายพื้นที่ สร้างพื้นที่ต้นแบบสัมมาชีพในบริเวณรอบโรงงานและพื้นที่อื่นๆ อย่างน้อย 2 พื้นที่ พร้อมเพิ่มรายได้ให้ชุมชนอย่างน้อยร้อยละ 10 ภายใน ปี 2562
- โครงการชุมชนดีมีรอยยิ้ม
- ด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม : ขยายพื้นที่ใหม่และต่อยอดพื้นที่การทำงานด้านการบริหารจัดการน้ำ และพื้นที่สีเขียว เพื่อชุมชนให้มากขึ้น อย่างน้อย 2 พื้นที่
- ด้านเด็กและเยาวชน : เพิ่มจำนวนเด็กและเยาวชนให้เข้าถึงโอกาสผ่านการพัฒนาด้านทักษะอาชีพและทักษะชีวิต มากขึ้นร้อยละ 10 ภายในปี 2562
- โครงการความร่วมมือศูนย์ฯ ห้วยฮ่องไคร้ มุ่งขยายแนวทางศาสตร์พระราชาที่กระจายอยู่ในศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่อง มาจากพระราชดำริ ในภาคต่างๆ ทั้ง 6 แห่ง ซึ่งตั้งในจังหวัดเพชรบุรี ฉะเชิงเทรา จันทบุรี สกลนคร เชียงใหม่ และนราธิวาส กระจายสู่ชุมชนผ่านแนวทางของศูนย์ โดยจะเลือกหมู่บ้านที่เหมาะสม เพื่อขยายผลต่อไป
15 โครงการ
พัฒนาชุมชน
สร้างรายได้เฉลี่ย 11,356 บาท ครัวเรือน/ปี |
|
ได้รับการแปรรูป
และการเพิ่มมูลค่า 14 รายการ |
|
พื้นที่เกษตรอินทรีย์ รวม 1,447 ไร่ |
การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
เพิ่มพื้นที่สีเขียว 613 ไร่ |
จำนวนต้นไม้บนบก 27,133 ต้น |
จำนวนต้นไม้ป่าชายเลน 40,000 ต้น |
แปลงหญ้า 250 rai |
โป่งเทียม 50 แห่ง |
35 ครัวเรือน ได้รับประโยชน์จากน้ำ ในการทำการเกษตร |
|
ระบบฝายชะลอน้ำ 58 ฝาย |
|
ระบบตะบันน้ำ 11 จุด พื้นที่รับประโยชน์ |
|
ระบบประปาภูเขา ระยะทาง
9,622 เมตร ปริมาณน้ำ 10,800 ลิตร/วัน |
เด็กและเยาวชนที่ได้เข้าร่วมกิจกรรม
6,314 คน ได้รับการพัฒนาทักษะด้านต่างๆ |
โรงเรียนที่ได้ร่วมโครงการ 66 แห่ง |
การบรรเทาภัยหนาวและความช่วยเหลืออื่นๆ
มอบผ้าห่ม จำนวน 200,000 ผืน/ปี ชาวบ้านกว่า 3,000 คน ใน 11 จังหวัดภาคเหนือ/อีสาน ที่มารับมอบผ้าห่ม ได้รับโอกาส เข้าถึงการตรวจสุขภาพจาก หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ |
แจกจ่ายผ้าห่มสู่พี่น้องผู้ประสบภัยหนาว 15 จังหวัด มอบอุปกรณ์การเรียนและ คอมพิวเตอร์ให้โรงเรียนที่ส่งมอบ ผ้าห่มกว่า 15 แห่ง กว่า 20 พันธมิตร จากหลากหลายภาคส่วนร่วมแบ่งปัน ความสุขและรอยยิ้มให้แก่ชาวบ้าน ในคาราวานผ้าห่ม |