GRI 102-11, GRI 102-13, GRI 102-15, GRI 102-16, GRI 102-17, GRI 201-2, GRI 205-2, GRI 205-3, GRI 419-1, GRI 415-1 |
ไทยเบฟดำเนินธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ โปร่งใส ความเป็นธรรม และคงไว้ซึ่งจริยธรรม โดยยึดมั่นการปฏิบัติภายใต้กรอบจรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจของบริษัท
ในกลุ่มไทยเบฟ การกำกับดูแลเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการปรับปรุงประสิทธิภาพขององค์กร ซึ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายจัดการ คณะกรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน และ
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การกำกับดูแลทำให้เกิดโครงสร้างที่สำคัญ ซึ่งเป็นกลไกในการกำหนดวัตถุประสงค์ของการดำเนินธุรกิจและการกำหนดวิธีการดำเนินการที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว รวมถึงการสอดส่องดูแลผลการปฏิบัติงาน ไทยเบฟจึงมุ่งเน้นการปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยมีการวางแผนจัดการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน
การกำกับดูแลกิจการที่ดีเป็นแนวทางการบริหารองค์กร ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งสอดคล้องกับจรรยาบรรณเครือไทยเบฟ เป็นระบบบริหารจัดการที่ก่อให้เกิดความเป็นธรรมโปร่งใส สามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ถือหุ้น ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย อีกทั้งยังส่งเสริมให้ไทยเบฟดำเนินธุรกิจให้เจริญเติบโตได้อย่างยั่งยืน
การกำกับดูแลกิจการที่ดีเป็นแนวทางการบริหารองค์กร ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งสอดคล้องกับจรรยาบรรณเครือไทยเบฟ เป็นระบบบริหารจัดการที่ก่อให้เกิดความเป็นธรรมโปร่งใส สามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ถือหุ้น ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย อีกทั้งยังส่งเสริมให้ไทยเบฟดำเนินธุรกิจให้เจริญเติบโตได้อย่างยั่งยืน
การกำกับดูแลกิจการที่ดีขององค์กร
ไทยเบฟตั้งใจและมุ่งมั่นในการกำกับดูแลกิจการตามหลัก
บรรษัทภิบาลที่ดี ควบคู่กับการดำเนินงานด้วยระบบการบริหาร
ที่มีประสิทธิภาพ มีความโปร่งใส และตรวจสอบได้ กล่าวคือ
ไม่เพียงแต่ประกอบธุรกิจภายใต้กฎหมายและกฎระเบียบเท่านั้น แต่ยังมีเป้าหมายในการเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นมืออาชีพ คือ ดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส และ
การดำเนินธุรกิจด้วยหลักบรรษัทภิบาล เพื่อสร้างความเชื่อมั่น
ให้แก่ผู้ถือหุ้น นักลงทุน พนักงาน ลูกค้า และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
นอกจากนี้ ไทยเบฟได้รายงานการกำกับดูแลกิจการที่ดีไว้ในรายงานประจำปี 2561 ซึ่งอธิบายถึงโครงสร้างและกระบวนการในการเปิดเผยข้อมูลบรรษัทภิบาล ในรายงานประจำปีดังกล่าวยังได้เปิดเผยข้อมูลผลประกอบการ แสดงแนวทางในการพัฒนาเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในองค์กรระหว่างคณะกรรมการ ฝ่ายจัดการ และผู้ถือหุ้นของบริษัท เพื่อสร้างความสามารถ ในการแข่งขัน รวมทั้งให้ความสำคัญในการมุ่งมั่น สนับสนุน และพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจให้แก่ลูกค้า เพื่อสร้างความเจริญเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน และเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น ในระยะยาว โดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภายใน และภายนอกองค์กรด้วย ไทยเบฟมีแผนการจัดอบรมให้ความรู้ทางด้านกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ โดยทุกปี ส่วนงานกำกับดูแล สำนักเลขานุการบริษัท จะจัดให้ความรู้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานจากส่วนงาน ที่เกี่ยวข้องในกลุ่มบริษัทไทยเบฟ และเมื่อมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ก็จะแจ้งให้ทราบในที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร หรือผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (อีเมล) แล้วแต่กรณี
นอกจากนี้ ไทยเบฟได้ประกาศใช้นโยบายการรับข้อร้องเรียน เพื่อเน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญกับการรับฟังข้อร้องเรียน จากกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของไทยเบฟ ทั้งนี้ ปี 2561 ไม่พบรายการขัดแย้งที่มีนัยสำคัญและไม่พบข้อร้องเรียน ด้านจริยธรรมที่มีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ ไทยเบฟได้รายงานการกำกับดูแลกิจการที่ดีไว้ในรายงานประจำปี 2561 ซึ่งอธิบายถึงโครงสร้างและกระบวนการในการเปิดเผยข้อมูลบรรษัทภิบาล ในรายงานประจำปีดังกล่าวยังได้เปิดเผยข้อมูลผลประกอบการ แสดงแนวทางในการพัฒนาเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในองค์กรระหว่างคณะกรรมการ ฝ่ายจัดการ และผู้ถือหุ้นของบริษัท เพื่อสร้างความสามารถ ในการแข่งขัน รวมทั้งให้ความสำคัญในการมุ่งมั่น สนับสนุน และพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจให้แก่ลูกค้า เพื่อสร้างความเจริญเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน และเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น ในระยะยาว โดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภายใน และภายนอกองค์กรด้วย ไทยเบฟมีแผนการจัดอบรมให้ความรู้ทางด้านกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ โดยทุกปี ส่วนงานกำกับดูแล สำนักเลขานุการบริษัท จะจัดให้ความรู้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานจากส่วนงาน ที่เกี่ยวข้องในกลุ่มบริษัทไทยเบฟ และเมื่อมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ก็จะแจ้งให้ทราบในที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร หรือผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (อีเมล) แล้วแต่กรณี
นอกจากนี้ ไทยเบฟได้ประกาศใช้นโยบายการรับข้อร้องเรียน เพื่อเน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญกับการรับฟังข้อร้องเรียน จากกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของไทยเบฟ ทั้งนี้ ปี 2561 ไม่พบรายการขัดแย้งที่มีนัยสำคัญและไม่พบข้อร้องเรียน ด้านจริยธรรมที่มีนัยสำคัญ
จรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ
เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเจริญเติบโตก้าวหน้า มีความมั่นคงยั่งยืน และเป็นที่ยอมรับของสังคม จรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจจึงเป็นส่วนสำคัญ ดังนั้นไทยเบฟจึงกำหนดจรรยาบรรณ ด้วยเจตนารมณ์มุ่งเน้นพฤติกรรมที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ปฏิบัติตามกฎหมาย มีศีลธรรมและจริยธรรม ทั้งนี้คณะกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานทุกคน ต้องยึดถือปฏิบัติตามเพื่อให้บริษัทบรรลุจุดมุ่งหมายในการรักษาไว้ซึ่งจรรยาบรรณและยังส่งเสริมการรักษามาตรฐานทางจรรยาบรรณไว้อย่างสม่ำเสมอ
ไทยเบฟมีหน้าที่ที่จะทำให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานและจะปกป้องผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น โดยคำนึงถึงภาวะและปัจจัยความเสี่ยงทั้งในปัจจุบันและอนาคต และจะปฏิบัติต่อพนักงาน ลูกค้า และคู่ค้าทุกคนอย่างถูกต้องชอบธรรม ไทยเบฟมุ่งเน้นให้พนักงานทุกคนเข้าใจเนื้อหาและความหมายที่กำหนดไว้อย่างถ่องแท้ และประกาศให้บุคลากร ทุกระดับทราบ ประกอบกับต้องยอมรับและยึดถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด หากบุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกๆ ส่วนให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามจรรณยาบรรณของไทยเบฟอย่างจริงจังภายใต้นโยบายการกำกับดูแลที่ดี จะส่งผลดังนี้
ไทยเบฟมีหน้าที่ที่จะทำให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานและจะปกป้องผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น โดยคำนึงถึงภาวะและปัจจัยความเสี่ยงทั้งในปัจจุบันและอนาคต และจะปฏิบัติต่อพนักงาน ลูกค้า และคู่ค้าทุกคนอย่างถูกต้องชอบธรรม ไทยเบฟมุ่งเน้นให้พนักงานทุกคนเข้าใจเนื้อหาและความหมายที่กำหนดไว้อย่างถ่องแท้ และประกาศให้บุคลากร ทุกระดับทราบ ประกอบกับต้องยอมรับและยึดถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด หากบุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกๆ ส่วนให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามจรรณยาบรรณของไทยเบฟอย่างจริงจังภายใต้นโยบายการกำกับดูแลที่ดี จะส่งผลดังนี้
- ช่วยให้ไทยเบฟรักษาความรับผิดชอบต่อสังคมและผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียทุกฝ่าย
- ทำให้พนักงานมีประสิทธิภาพในการทำงาน
- ทำให้เกิดความเป็นธรรมในองค์กร
- พนักงานมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เป็นคนดี คนเก่ง
- องค์กรเป็นที่ยอมรับต่อสังคม
- เพื่อความผาสุกของพนักงาน
การต่อต้านการทุจริต
ไทยเบฟคำนึงถึงความสำคัญของการดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส
มีคุณธรรม ยึดหลักความยุติธรรม และปฏิบัติตามจรรยาบรรณทางธุรกิจ พร้อมทั้งคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายจากการดำเนินธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้นไทยเบฟจึงได้กำหนดนโยบายการต่อต้านคอร์รัปชันขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติในการต่อต้านและป้องกันการคอร์รัปชัน รวมถึงเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจ
และเสริมสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนในอนาคต
ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ กฎระเบียบ มาตรฐาน และกฎหมาย กรรมการผู้อำนวยการใหญ่และคณะผู้บริหารมีหน้าที่ติดตามและกำหนดให้มีระบบรองรับการต่อต้านการคอร์รัปชันที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เพื่อให้มีการตรวจสอบและทบทวนนโยบายให้ทันสมัยและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ นอกจากนี้ ไทยเบฟยังกำหนดขอบเขตการปฏิบัติตามนโยบายของทุกฝ่าย ดังนี้
ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ กฎระเบียบ มาตรฐาน และกฎหมาย กรรมการผู้อำนวยการใหญ่และคณะผู้บริหารมีหน้าที่ติดตามและกำหนดให้มีระบบรองรับการต่อต้านการคอร์รัปชันที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เพื่อให้มีการตรวจสอบและทบทวนนโยบายให้ทันสมัยและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ นอกจากนี้ ไทยเบฟยังกำหนดขอบเขตการปฏิบัติตามนโยบายของทุกฝ่าย ดังนี้
- ผู้บริหารระดับสูงมีหน้าที่เสริมสร้างความเข้าใจในการปฏิบัติตามนโยบาย พร้อมทั้งร่วมมือกับกรรมการ ผู้บังคับบัญชา และพนักงาน ช่วยกันสอดส่องดูแล
- กรรมการและพนักงานมีหน้าที่รักษามาตรฐานสูงสุดในการดำเนินธุรกิจ
- พนักงานต้องไม่ทนหรือเพิกเฉย เมื่อพบเห็นการกระทำที่เข้าข่าย การทุจริตคอร์รัปชัน
- พนักงานต้องให้ความร่วมมือในการตรวจสอบข้อเท็จจริง
การรับข้อร้องเรียน
ไทยเบฟมีนโยบายรับข้อร้องเรียน โดยพนักงานทุกคนมีสิทธิ์
ที่จะแจ้งข้อร้องเรียนหากพบเห็นการกระทำที่เข้าข่ายเป็นความผิด
- หากกรรมการมีข้อร้องเรียน ให้กรรมการแจ้งข้อร้องเรียน ดังกล่าวไปยังประธานกรรมการตรวจสอบ
- หากพนักงานมีข้อร้องเรียน ให้พนักงานแจ้งข้อร้องเรียน ดังกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางที่แนะนำ โดยระบุชื่อและรายละเอียดเพื่อใช้ในการติดต่อ แล้วแจ้งไปยังบุคคล ที่มีหน้าที่รับผิดชอบ
- พนักงานทุกคนสามารถแจ้งข้อมูลที่อยู่ในข่ายอันสงสัยมายังกรรมการผู้อำนวยการใหญ่โดยตรง ผ่านทางอีเมล whistleblowing@thaibev.com หรือส่งมายังผู้บริหารโดยตรง
- ไทยเบฟพร้อมที่จะปกป้องพนักงานที่แจ้งข้อร้องเรียนที่มีมูลความจริง โดยรักษาข้อมูลไว้เป็นความลับและจะดำเนินการ กับการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นอย่างเข้มงวด
- พนักงานที่แจ้งข้อเท็จจริงจะไม่ได้รับความเดือดร้อน หรือเสียหายใดๆ หากเป็นการร้องเรียนโดยสุจริต
- ไทยเบฟจะดำเนินการอย่างเหมาะสมเพื่อคุ้มครองกรรมการและพนักงานจากความเสียหายหรือการถูกทำร้ายอันมีสาเหตุมาจากการแจ้งข้อร้องเรียนที่เกิดขึ้น
การละเมิดกฎระเบียบข้อบังคับ
และกฎหมาย
ไทยเบฟกำหนดให้พนักงานต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับขององค์กรและข้อกฎหมายของทุกประเทศที่บริษัทเข้าไปดำเนินกิจการ หากมีการละเมิดกฎระเบียบข้อบังคับใดๆ ทั้งด้าน
จรรยาบรรณ ความเป็นเลิศขององค์กร และสิทธิมนุษยชน
ในสถานที่ประกอบการหรือสถานที่ดำเนินธุรกิจ จะต้องหยุดการละเมิดนั้นในทันที และใช้มาตรการจัดการที่เหมาะสม
ในปี 2561 ไทยเบฟพบว่า มีการละเมิดที่ไม่รุนแรง และกรณีรุนแรง โดยเป็นการจัดกลุ่มระดับของการละเมิดตามผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยกำหนดเกณฑ์ตามมูลค่าทางการเงิน กรณีรุนแรง (Major Case) คือ กรณีที่มีผลกระทบทางการเงินมากกว่าหรือเท่ากับ 300,000 บาท และกรณีไม่รุนแรง (Minor Case) คือกรณีที่มีผลกระทบทางการเงินน้อยกว่า 300,000 บาท เพื่อป้องกัน ไม่ให้เกิดการละเมิดกฎระเบียบข้อบังคับ ไทยเบฟมีแนวทางแก้ไขเบื้องต้นดังนี้
แนวทางการลดการทุจริตในองค์กร
ในปี 2561 ไทยเบฟพบว่า มีการละเมิดที่ไม่รุนแรง และกรณีรุนแรง โดยเป็นการจัดกลุ่มระดับของการละเมิดตามผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยกำหนดเกณฑ์ตามมูลค่าทางการเงิน กรณีรุนแรง (Major Case) คือ กรณีที่มีผลกระทบทางการเงินมากกว่าหรือเท่ากับ 300,000 บาท และกรณีไม่รุนแรง (Minor Case) คือกรณีที่มีผลกระทบทางการเงินน้อยกว่า 300,000 บาท เพื่อป้องกัน ไม่ให้เกิดการละเมิดกฎระเบียบข้อบังคับ ไทยเบฟมีแนวทางแก้ไขเบื้องต้นดังนี้
แนวทางการลดการทุจริตในองค์กร
- ไทยเบฟจัดให้มีการปฐมนิเทศให้กับพนักงานใหม่และผู้บริหาร
- จัดให้มีหลักสูตรการอบรมแบบออนไลน์
- ไทยเบฟให้ความสำคัญในการสื่อสารและทำความเข้าใจ ในจริยธรรมในการปฏิบัติงานของพนักงานและผู้บริหาร (Business Ethic)
- ไทยเบฟมุ่งมั่นสื่อสารทำความเข้าใจ และกำหนดให้พนักงานและผู้บริหารปฏิบัติตามจรรยาบรรณ
- หากตรวจพบการทุจริต บริษัทจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดทันทีและอาจถูกดำเนินคดี
- ไทยเบฟได้จัดให้มีกระบวนการตรวจสอบการทุจริตในองค์กรอย่างสม่ำเสมอ
ไทยเบฟและการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับนโยบายสาธารณะ (Public Policy)
ไทยเบฟยึดหลักในการดำเนินธุรกิจโดยปฏิบัติตามหลัก
ธรรมาภิบาล โดยมีระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และกำหนดนโยบายบนพื้นฐานความรับผิดชอบ
ต่อส่วนรวม และเป็นกลาง ไทยเบฟได้เข้าไปมีส่วนร่วมและให้การสนับสนุนองค์กรของภาครัฐ เพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และการผลิต ได้แก่ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของไทยเบฟ และสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่งร่วมกับบริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม โดยให้การสนับสนุนทั้งในส่วนของงบประมาณ และการเข้าไปมีส่วนร่วมในการแบ่งปันข้อมูล การสนับสนุนกิจกรรม และร่วมให้ข้อเสนอแนะและแนวทาง
ในส่วนที่สร้างประโยชน์ให้ส่วนรวม ทั้งภาคธุรกิจ และผู้บริโภค โดยมีเจตนารมณ์ในการประสานนโยบายภาครัฐกับเอกชน สนับสนุนและส่งเสริมอุตสาหกรรมโดยรวมให้มีการเติบโต
และพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน
ในส่วนของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยที่ไทยเบฟให้การสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน รวมถึงการส่งเสริมการใช้หลัก 3Rs ผ่านช่องทางการสื่อสาร การฝึกอบรม และการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างคู่ค้า ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นความร่วมมือของภาคเอกชน ในการจัดการของเสียจากบรรจุภัณฑ์ด้วยวิธีแก้ไขเชิงบูรณาการแบบองค์รวมอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นในการช่วยลดผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อม และยังสามารถช่วยการจัดการของเสีย จากบรรจุภัณฑ์ในประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้น
- สนับสนุนเงินสมทบให้กับหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นค่าธรรมเนียมสมาชิก เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในการให้ความช่วยเหลือ การอำนวยความสะดวก และการเชื่อมโยงในการปฏิบัติตามขอบเขตและแผนงานที่ทางภาครัฐได้กำหนดไว้อย่างถูกต้องตามกระบวนการ เช่น พระราชบัญญัติ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี กฎกระทรวง ระเบียบสรรพสามิต ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อภาคอุตสาหกรรม
- สนับสนุนเงินให้กับสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย (TIPMSE) ภายใต้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในการส่งเสริม 3Rs ได้แก่ ลดการใช้ (Reduce) การใช้ซ้ำ (Reuse) และการนำกลับมา ใช้ใหม่ (Recycle) และแนวทางการปฏิบัติด้านบรรจุภัณฑ์ เพื่อส่งเสริมสังคมที่มุ่งเน้นการรักษาสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
- สนับสนุนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มอบทุนวิจัย เพื่อสนับสนุนการจัดการบรรจุภัณฑ์ เพื่อลดผลกระทบ กับสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยและตอบโจทย์ความยั่งยืน
ในส่วนของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยที่ไทยเบฟให้การสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน รวมถึงการส่งเสริมการใช้หลัก 3Rs ผ่านช่องทางการสื่อสาร การฝึกอบรม และการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างคู่ค้า ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นความร่วมมือของภาคเอกชน ในการจัดการของเสียจากบรรจุภัณฑ์ด้วยวิธีแก้ไขเชิงบูรณาการแบบองค์รวมอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นในการช่วยลดผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อม และยังสามารถช่วยการจัดการของเสีย จากบรรจุภัณฑ์ในประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้น
การบริหารความเสี่ยง
- การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับไทยเบฟในการบรรลุผลตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ขณะเดียวกัน ช่วยลดความสูญเสียให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ และ/หรือเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับไทยเบฟ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและการเติบโตของไทยเบฟ
- ไทยเบฟจึงกำหนดกรอบและแนวทางของการบริหารความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นทั่วทั้งองค์กรอย่างเป็นระบบ โดยสร้าง ความเข้าใจกับผู้บริหารและพนักงานทุกคนถึงโอกาสและความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังกำหนดแผนการลดความเสี่ยง พร้อมด้วยระบบการติดตามและประเมินผลการบริหารความเสี่ยง เพื่อค้นหาความเสี่ยงใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
- นอกเหนือจากการบริหารความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในการดำเนินงานตามปกติ ไทยเบฟได้วิเคราะห์ความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อความยั่งยืนของไทยเบฟ พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ 4 ประการ ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม คือ
- การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของประชากรและการเข้าสู่สังคมสูงวัย
- การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ
- การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำธุรกิจ
- ภัยคุกคามต่อความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศ
โครงสร้างการกำกับดูแลและบริหารความเสี่ยง
แบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ ระดับองค์กร และระดับกลุ่มธุรกิจ
หรือสายธุรกิจ
ระดับองค์กร:
มีคณะกรรมการบริหารความยั่งยืนและความเสี่ยง1 (Sustainability and Risk Management Committee : SRMC) ซึ่งประกอบด้วยกรรมการบริษัทและผู้บริหารระดับสูงของแต่ละกลุ่มธุรกิจหรือสายธุรกิจที่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการบริษัท ทำหน้าที่กำหนดนโยบายด้านการบริหารความยั่งยืนและนโยบาย การบริหารความเสี่ยง กำกับดูแลด้านกลยุทธ์ของธุรกิจในด้าน การพัฒนาอย่างยั่งยืนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล กำหนดกรอบการดำเนินงานด้านการบริหารความเสี่ยงของบริษัท รวมทั้งติดตาม กลั่นกรองให้ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะในเรื่องที่เกี่ยวข้อง
ระดับกลุ่มธุรกิจหรือสายธุรกิจ:
มีผู้บริหารระดับสูงของแต่ละกลุ่มธุรกิจหรือสายธุรกิจ ทำหน้าที่ควบคุมและติดตามการบริหารความเสี่ยง ของกลุ่มธุรกิจหรือสายธุรกิจ และรายงานผลต่อคณะกรรมการบริหารความยั่งยืนและความเสี่ยง นอกจากนี้ ยังมีผู้ประสานงาน
ความเสี่ยงของแต่ละกลุ่มธุรกิจหรือสายธุรกิจ ทำหน้าที่ช่วยควบคุมดูแลและติดตามการดำเนินงานด้านการบริหารความเสี่ยงภายในกลุ่มธุรกิจหรือสายธุรกิจ ตลอดจนประสานงานกับคณะทำงานบริหารความเสี่ยงองค์กร (Corporate Risk Management Working Team)
นอกเหนือจากการบริหารความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามปกติของแต่ละกลุ่มธุรกิจหรือสายธุรกิจ ไทยเบฟยังบริหาร ความเสี่ยงเชื่อมโยงกับกระบวนการจัดทำแผนกลยุทธ์ การลงทุน และการวางแผนธุรกิจที่ได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการ ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนั้นๆ อาทิ คณะกรรมการจัดซื้อวัตถุดิบ คณะจัดการ คณะกรรมการลงทุน และคณะกรรมการบริหาร ซึ่งประเด็น ที่เป็นความเสี่ยงระดับองค์กร (Corporate Risk) จะต้องรายงานต่อคณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการตรวจสอบด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าทุกความเสี่ยงได้รับการจัดการตามมาตรการที่กำหนดไว้
1หมายเหตุ เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 5/2560 ได้อนุมัติการแก้ไขเปลี่ยนแปลงชื่อ “คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง” เป็น “คณะกรรมการบริหารความยั่งยืนและความเสี่ยง” และการเพิ่มขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบให้ครอบคลุมการกำกับดูแลกลยุทธ์ให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
กระบวนการบริหารความเสี่ยง
กระบวนการบริหารความเสี่ยงของไทยเบฟเป็นแบบบูรณาการ (Integrated Risk Management) แบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ การบริหารความเสี่ยงแบบบนลงล่าง และ การบริหารความเสี่ยงแบบล่างขึ้นบน (Top-Down and Bottom-Up Enterprise Risk Management) เช่น ผู้บริหารระดับสูงมีส่วนในการระบุและประเมินความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ขององค์กรโดยวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกและภายในที่เกี่ยวข้อง พิจารณาจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงไปพร้อมกับการจัดทำแผนธุรกิจ/แผนปฏิบัติการประจำปี/แผนการลงทุน
ตลอดจนติดตามผลการบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง
ส่วนในระดับปฏิบัติการ หัวหน้าหน่วยงานและพนักงานจะต้องระบุ และประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน จัดทำแผนบริหารความเสี่ยง ดำเนินการตามแผนบริหารความเสี่ยง และรายงานผล อย่างต่อเนื่องในทุกระดับตั้งแต่ระดับสายงานและบริษัทย่อย ระดับสายธุรกิจหรือกลุ่มธุรกิจและระดับองค์กร
กระบวนการบริหารความเสี่ยงแบบบูรณาการ ประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้
ส่วนในระดับปฏิบัติการ หัวหน้าหน่วยงานและพนักงานจะต้องระบุ และประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน จัดทำแผนบริหารความเสี่ยง ดำเนินการตามแผนบริหารความเสี่ยง และรายงานผล อย่างต่อเนื่องในทุกระดับตั้งแต่ระดับสายงานและบริษัทย่อย ระดับสายธุรกิจหรือกลุ่มธุรกิจและระดับองค์กร
กระบวนการบริหารความเสี่ยงแบบบูรณาการ ประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้
- 1. การกำหนดวัตถุประสงค์ (Define Objectives) ทั้งวัตถุประสงค์ขององค์กร และของกลุ่มธุรกิจหรือสายธุรกิจซึ่งต้องมีความสอดคล้องกัน
- 2. การระบุความเสี่ยง (Identify Risks) ที่องค์กรหรือธุรกิจเผชิญอยู่หรือแฝงอยู่ในการดำเนินงาน ซึ่งอาจเกิดขึ้นและส่งผลในทางลบ ต่อการบรรลุเป้าหมายขององค์กรหรือธุรกิจ
- 3. การวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยง (Analyze and Assess Risks) เพื่อหาสาเหตุของความเสี่ยง จำแนกและจัดลำดับความสำคัญของความเสี่ยงที่มีอยู่ โดยประเมินโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ความเสี่ยงและผลกระทบ หรือระดับความรุนแรงของความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
- 4. การกำหนดแผนบริหารความเสี่ยง (Plan the Risk Management Actions)
- 5. การปฏิบัติตามแผนบริหารความเสี่ยง (Implement the Action Plans)
- 6. การติดตามความคืบหน้า รายงานและประเมินผลการบริหารความเสี่ยง (Follow Up, Report and Evaluate Risk Management) โดย เปรียบเทียบกับตัวชี้วัดด้านการบริหารจัดการความเสี่ยง (Key Risk Indicators) ที่กำหนดเพื่อเป็นเกณฑ์ประเมินผลการปฏิบัติงานสำหรับผู้บริหารระดับกลางขึ้นไป
วัฒนธรรมการจัดการความเสี่ยง
เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและปลูกฝังการบริหารจัดการความเสี่ยงให้อยู่ในจิตสำนึกของพนักงานทุกคน และพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กรที่มีส่วนช่วยให้
ไทยเบฟเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน บริษัทจึงได้ดำเนินการ
- จัดอบรมเรื่องการบริหารความเสี่ยงเป็นการเฉพาะแก่ผู้ประสานงานความเสี่ยงของแต่ละกลุ่มธุรกิจหรือสายธุรกิจ ตลอดจนจัดกิจกรรมฝึกอบรมพนักงานและปฐมนิเทศพนักงานใหม่ให้เข้าใจถึงปัจจัยเสี่ยงขององค์กร กระบวนการบริหารจัดการความเสี่ยง และเครื่องมือบริหารจัดการความเสี่ยงทั้งในเรื่องทั่วไป และเรื่องเฉพาะเจาะจง อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเตรียมความพร้อมให้พนักงานสามารถรับมือกับเหตุการณ์ ที่อาจเกิดขึ้นในการดำเนินธุรกิจทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
- ส่งเสริมและสนับสนุนให้พนักงานได้พูดคุยหรือสื่อสารเรื่องความเสี่ยงหรือความปลอดภัยภายในองค์กร รวมถึงเสนอความเห็นด้านการจัดการความเสี่ยงในการประชุม/อบรม
- จัดให้มีหน่วยงานภายใน เช่น สำนักกฎหมาย ส่วนงานกำกับดูแล สำนักเลขานุการบริษัท คณะทำงานบริหารความเสี่ยงองค์กร และสำนักตรวจสอบภายใน ทำหน้าที่ตรวจสอบ ติดตามการดำเนินงาน ให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะในการปรับปรุงการดำเนินงานกับกลุ่มธุรกิจ สายธุรกิจ และหน่วยงาน ต่างๆ
- มีโครงการ Ways of Work Awards หรือ WOW Awards เพื่อให้พนักงานสามารถนำเสนอผลงานที่อาจเป็นแนวคิดหรือวิธีการปฏิบัติงานที่สร้างสรรค์และสนับสนุนการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนเข้าประกวดชิงรางวัล ซึ่งผู้บริหารระดับสูงจะเป็นกรรมการพิจารณาคัดเลือกผลงานที่น่าสนใจและสร้างประโยชน์ให้แก่องค์กรเมื่อนำผลงานไปปฏิบัติจริง
การรับมือกับความเสี่ยงที่กำลังเกิดขึ้นใหม่
1. ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของประชากรและการเข้าสู่สังคมสูงวัย ได้แก่:
- การเพิ่มขึ้นของประชากรสูงวัยในหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย เป็นการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยสัดส่วนจํานวนประชากรในวัยทํางานและวัยเด็กลดลง
- การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ให้ความสนใจในเรื่องสุขภาพมากขึ้น
- ผู้บริโภคมีพฤติกรรมการบริโภคสินค้าและบริการที่หลากหลาย คาดหวังในคุณภาพหรือมาตรฐาน ของสินค้าสูงขึ้น
- ภาครัฐให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างสุขภาพอนามัยของประชากรผู้สูงอายุ เพื่อลดภาระในการดูแล และให้บริการด้านสุขภาพแก่ผู้สูงอายุ ด้วยการแก้ไขและปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า และบริการที่มีผลต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค
ผลกระทบทางธุรกิจที่อาจเกิดขึ้น
- โอกาสที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมกลุ่มเครื่องดื่มและอาหารเพื่อสุขภาพ หรือธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้มนี้ ไทยเบฟไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือปรับตัวตามพฤติกรรมและ/หรือความต้องการของผู้บริโภคได้ทันเวลา
- หากบริษัทคู่แข่งสามารถคว้าโอกาสได้ก่อน ทำให้ไทยเบฟ เสียโอกาส/ความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจและ/หรือ การเป็นผู้นำตลาด
- หากไทยเบฟไม่สามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการที่มีผลต่อสุขภาพและความปลอดภัย ของผู้บริโภคที่บังคับใช้โดยภาครัฐ อาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของไทยเบฟ การถูกลงโทษและค่าปรับ
- ไทยเบฟขาดแคลนแรงงาน ไม่สามารถรับพนักงานได้ตาม เป้าหมาย เนื่องจากประชากรในวัยทํางานมีแนวโน้มลดลง
มาตรการจัดการความเสี่ยง
- การคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและอาหารเพื่อสุขภาพตามนโยบายด้านสุขภาพและโภชนาการของไทยเบฟ และตอบสนองพฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภคแต่ละกลุ่มหรือช่วงอายุ
- การพัฒนาและลงทุนในธุรกิจอาหารในรูปแบบร้านอาหาร ที่หลากหลาย สามารถเข้าถึงลูกค้าได้หลายกลุ่ม เพื่อขยายธุรกิจโดยรวม และสนับสนุนธุรกิจเครื่องดื่ม
- การออกแบบและพัฒนาฉลากและบรรจุภัณฑ์ที่สื่อสารถึงข้อมูลและคุณค่าทางโภชนาการของเครื่องดื่มและอาหารของไทยเบฟ
- การสื่อสารหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่สอดคล้องกับพฤติกรรมและรูปแบบการดำรงชีวิตของผู้บริโภค และเข้าถึงผู้บริโภคเป้าหมาย
- การติดตามอย่างต่อเนื่องถึงการแก้ไขและปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการ รวมถึงสิทธิของผู้บริโภคเพื่อกำหนดเป็นหลักเกณฑ์ในการผลิตสินค้าและให้บริการ ของไทยเบฟ และมีการสื่อสารทำความเข้าใจแก่ทุกหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง
- การพัฒนาระบบงานที่นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการปฏิบัติงานเพื่อลดการใช้แรงงานคน
2. ความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ได้แก่
:
- การเกิดภัยธรรมชาติบ่อยครั้งและมีความรุนแรงมากขึ้นทั้งที่เป็นภาวะภัยแล้งและน้ำท่วม
- การเคลื่อนไหวเพื่อรักษาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในรูปแบบต่างๆ
- การเพิ่มมาตรการกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อมหรือการใช้ทรัพยากรธรรมชาติด้วยการออกกฎหมายใหม่หรือเพิ่มความเข้มงวดของกฎหมายโดยภาครัฐ
ผลกระทบทางธุรกิจที่อาจเกิดขึ้น
- ปัญหาด้านคุณภาพของน้ำและความไม่เพียงพอของน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตที่ต้องใช้น้ำในปริมาณมาก ในกระบวนการผลิต
- ความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงของปริมาณและราคาของสินค้าทางการเกษตรที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าของไทยเบฟ ซึ่งมีผลกระทบต่อเนื่องของกระบวนการจัดการห่วงโซ่อุปทาน ทั้งด้านการผลิต การขาย และการขนส่งสินค้า
- ความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจหลังจากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติ ที่รุนแรงและเกิดขึ้นกะทันหัน
- กฎหมายใหม่ด้านสิ่งแวดล้อมอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต ของไทยเบฟในอนาคต
- การสูญเสียชื่อเสียงขององค์กร และการสูญเสียทางการเงิน ในลักษณะของค่าปรับ หากมีส่วนสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ
มาตรการจัดการความเสี่ยง
- ทุกกลุ่มธุรกิจต้องปฏิบัติตามนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม นโยบาย การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำขององค์กรอย่างเคร่งครัด เช่น การใช้ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001 การใช้หลัก 3Rs (Reduce, Reuse, Recycle) การสำรองน้ำให้เพียงพอเพื่อใช้ใน การผลิต การบริหารจัดการและลดปริมาณการใช้น้ำในการผลิต การเข้าร่วมโครงการ Water Footprint รวมถึงโครงการ Carbon Footprint ระดับองค์กรและผลิตภัณฑ์ การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและประหยัดพลังงานในการบำบัดและกำจัดน้ำเสียของโรงงาน รวมทั้งนำพลังงานที่เกิดขึ้นในกระบวนการบำบัดน้ำเสียดังกล่าว มาใช้เป็นพลังงานทางเลือกในโรงงาน
- การใช้เทคโนโลยีการผลิตและเครื่องจักรที่ทันสมัยและประหยัด พลังงาน เพื่อลดการใช้ทรัพยากรและพลังงาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนการผลิต รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการผลิต
- การประยุกต์ใช้แนวคิดเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยการนำของเสียจากกระบวนการผลิตมาใช้ใหม่ ในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม เพื่อลดการมีส่วนสร้าง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
- การส่งเสริมการพัฒนาและออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อม เพื่อลดค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการผลิต กระบวนการขนส่ง รวมถึงการสร้าง ภาพลักษณ์ที่ดีให้ตราสินค้า
- การบริหารจัดการตามแนวทางการปฏิบัติของคู่ค้าในเรื่องสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน
- การวิเคราะห์และติดตามการเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณ ของวัตถุดิบหลักอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้เป็นแนวทางบริหารด้านการ จัดซื้อสินค้าและบริการแบบองค์รวมของไทยเบฟ (Consolidated Strategic Sourcing and Procurement) เพื่อจัดการปัญหา การขาดแคลนและความผันผวนของราคาวัตถุดิบที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ รวมถึงเพื่อส่งเสริม การใช้พลังงานในด้านโลจิสติกส์ของซัพพลายเออร์อย่างมีประสิทธิภาพ (GHG Emission Scope 3) เป็นต้น
3. ความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำธุรกิจ ได้แก่
:
- การพัฒนาอย่างรวดเร็วของดิจิทัลและเทคโนโลยี มีผลต่อตลาดและผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม
- บริษัทหลายแห่งโดยเฉพาะคู่แข่งทำการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ เพื่อตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลงและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ โดยการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ หรือบริการใหม่ๆ ที่ใช้เทคโนโลยี
ผลกระทบทางธุรกิจที่อาจเกิดขึ้น
- ไทยเบฟไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของ เทคโนโลยีได้ทันเวลา หรือหากบริษัทคู่แข่งสามารถสร้างโอกาส ทางธุรกิจได้ก่อนไทยเบฟ จะมีผลกระทบต่อการเติบโตของรายได้ ส่วนแบ่งการตลาด คุณค่าและความภักดีในตราสินค้า เป็นต้น
- โอกาสที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมหรือธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้อง กับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
มาตรการจัดการความเสี่ยง
- จัดทำแผนแม่บทด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Master Plan) เพื่อรองรับและบริหารจัดการด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน
- ศึกษาและพัฒนาระบบงานที่นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการ ดำเนินงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยเบฟ เช่น ระบบสารสนเทศภายใต้วงจรห่วงโซ่อุปทาน
4. ความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศ ได้แก่
:
- ภัยคุกคามด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cyber Security Attacks) ที่เกิดบ่อยครั้งกับหลายองค์กร หน่วยงาน และมีผลกระทบรุนแรง
ผลกระทบทางธุรกิจที่อาจเกิดขึ้น
- การรั่วไหลของข้อมูลที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจ เช่น แผนธุรกิจ ข้อมูลการขาย ผลประกอบการ ข้อมูลลูกค้าและคู่ค้าทางธุรกิจ ซึ่งก่อให้เกิดการสูญเสียชื่อเสียงและภาพพจน์ขององค์กร และ ผลกระทบทางการเงินจากการสูญเสียลูกค้าและคู่ค้าทางธุรกิจ
- ระบบสารสนเทศของไทยเบฟไม่พร้อมใช้ในการปฏิบัติงานหรือการ ดำเนินธุรกิจ ทำให้การปฏิบัติงานเกิดความล่าช้า ขาดประสิทธิภาพ และประสิทธิผล และไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้
มาตรการจัดการความเสี่ยง
- การกำกับดูแล การระบุ และการแก้ไขภัยคุกคามด้านไซเบอร์ และกิจกรรมภายในที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ที่น่าสงสัย
- จัดทำแผนการสร้างความรู้ด้านดิจิทัลและการเข้าถึงระบบและข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของพนักงานทุกระดับ
- สร้างความตระหนักด้าน Cyber Security ให้แก่พนักงาน ด้วยการ จัดอบรมหรือให้ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการและการป้องกัน ความปลอดภัยของข้อมูลสารสนเทศอย่างสม่ำเสมอ
- การทดสอบการกู้คืนภัยพิบัติ และกำหนดมาตรการตอบรับ และการฟื้นฟูในแผนการบริหารความเสี่ยงด้านไซเบอร์