กลุ่มไทยเบฟมีการติดตามการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบ
และกฎหมายในประเทศไทยและประเทศอื่นที่เข้าไปดำ�เนินธุรกิจ
อย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มไทยเบฟมีช่องทางติดตามการเปลี่ยนแปลง
ของกฎหมายจากการเป็นสมาชิกหอการค้าไทย สภาหอการค้า
แห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้รับ
แจ้งข้อมูลจากที่ปรึกษากฎหมายภายนอก รวมทั้งสืบค้นข้อมูล
กฎหมายและข่าวสารจากเว็บไซต์ของหน่วยงานราชการต่าง ๆ
เช่น สำ�นักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำ�นักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
สำ�นักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ราชกิจจานุเบกษา
สำ�นักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมสรรพากร เป็นต้น
ซึ่งในปี 2567 มีกฎหมายออกใหม่หลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์
เพื่อสร้างการเติบโตของกลุ่มไทยเบฟ กลุ่มไทยเบฟจึงได้ปรับตัวต่อ
การเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของ
บริษัทดังนี้
ิ
มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป
โดยกฎกระทรวงฉบับนี้เป็นการแก้ไขปรับปรุงอัตราภาษี
สรรพสามิตสำหรับสินค้าสุราประเภทไวน์และสปาร์กลิ้งไวน์
ที่ทำจากองุ่น สุราแช่ผลไม้ที่มีส่วนผสมขององุ่นหรือไวน์องุ่น
และสุราแช่พื้นบ้าน ดังนี้
- สินค้าประเภทไวน์และสปาร์กลิ้งไวน์ที่ทำจากองุ่น มีการปรับอัตราภาษีตามมูลค่าโดยปรับเพิ่มอัตราภาษีตามมูลค่าของสินค้าที่มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 1,000 บาท จากร้อยละ 0 ของราคาขายปลีกแนะนำเป็นร้อยละ 5 ของราคาขายปลีกแนะนำ และปรับลดอัตราภาษีตามมูลค่าของสินค้าที่มีราคาขายปลีกแนะนำเกินกว่า 1,000 บาท จากร้อยละ 10 ของราคาขายปลีกแนะนำ เป็นร้อยละ 5 ของราคาขายปลีกแนะนำ และมีการปรับลดอัตราภาษีตามปริมาณจากอัตรา 1,500 บาทต่อปริมาณ 1 ลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ เป็น อัตรา 1,000 บาท ต่อ ปริมาณ 1 ลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์
- สินค้าประเภทสุราแช่ผลไม้ที่มีส่วนผสมขององุ่นหรือไวน์องุ่น ซึ่งมีแรงแอลกอฮอล์เกิน 7 ดีกรี หรือมีแรงแอลกอฮอล์ไม่เกิน 7 ดีกรี แต่มีขนาดบรรจุเกินกว่า 0.330 ลิตร มีการปรับลดอัตราภาษีตามมูลค่าลงจากร้อยละ 10 ของราคาขายปลีก แนะนำ เป็น ร้อยละ 0 ของราคาขายปลีกแนะนำ
- สินค้าประเภทสุราแช่พื้นบ้านที่มีแรงแอลกอฮอล์ไม่เกิน 7 ดีกรี มีการปรับลดอัตราภาษีตามมูลค่าลงจากร้อยละ 10 ของราคาขายปลีกแนะนำ เป็น ร้อยละ 0 ของราคาขายปลีกแนะนำ
- สินค้าประเภทสุราแช่ที่มีการผสมสุรากลั่นที่มีแรงแอลกอฮอล์เกิน 7 ดีกรี มีการปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตตามปริมาณจากอัตรา 150 บาท ต่อปริมาณ 1 ลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ เป็นอัตรา 255 บาท ต่อ ปริมาณ 1 ลิตร แห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์
ส่วนประกาศกระทรวงการคลังฉบับนี้เป็นการยกเว้นอากรขาเข้า
ให้แก่สินค้าประเภทไวน์ทุกชนิดตามประเภทพิกัด 22.04
(ไวน์ที่ทำจากองุ่นสด และเกรปมัสต์) และพิกัด 22.05 (เวอร์มุท
และไวน์ที่ทำจากองุ่นสด ปรุงกลิ่นรสด้วยพืชหรือสารหอม)
เนื่องจากการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตและการยกเว้นอากร
ขาเข้าดังกล่าวอาจเป็นแรงจูงใจให้ผู้บริโภคบางส่วนเปลี่ยน
พฤติกรรมในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กลุ่มไทยเบฟ
จึงได้วางแผนและกำหนดกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจให้
เหมาะสม เน้นการรักษาคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์
ที่มีอยู่แล้วของกลุ่มไทยเบฟให้ดีอยู่เสมอ และพัฒนา
ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่
ผู้บริโภค เพิ่มความหลากหลายในผลิตภัณฑ์ และสร้างการจดจำ
ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มไทยเบฟ
มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป
โดยพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ได้กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจบริการ
แพลตฟอร์มดิจิทัลที่เข้าข่ายต้องแจ้งให้ทราบตาม
พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้แจ้งการประกอบธุรกิจดังกล่าว
ให้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.)
ทราบก่อนการประกอบธุรกิจ และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์
การประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลและการควบคุม
ดูแลตามที่ระบุไว้ในหมวด 2 ซึ่งต้องมีการแจ้งปรับปรุงข้อมูลให้
สพธอ. ทราบทุกปีภายใน 60 วัน นับแต่วันสิ้นรอบบัญชี
แต่ละคราว และแจ้งให้ สพธอ. ทราบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่
มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล หากมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลเกี่ยวกับ
ผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ชื่อบริการ
แพลตฟอร์มดิจิทัล ประเภทบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล
ช่องทางการให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น ยูอาร์แอล (URL)
หรือแอปพลิเคชัน โดยผู้ประกอบธุรกิจที่เข้าข่ายต้องแจ้งให้
สพธอ. ทราบที่ได้ประกอบธุรกิจอยู่ในวันก่อนที่พระราชกฤษฎีกา
ฉบับนี้ มีผลใช้บังคับจะต้องแจ้งการประกอบธุรกิจให้ สพธอ.
ทราบภายใน 90 วันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้
มีผลใช้บังคับ คือ ภายในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2566 แต่หากเป็น
ผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลขนาดเล็กจะต้อง
แจ้งแบบย่อให้ สพธอ. ทราบภายในวันที่ 20 สิงหาคม 2567
กลุ่มไทยเบฟซึ่งได้มีการนำดิจิทัลและเทคโนโลยีมาประยุกต์
ใช้เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและความได้เปรียบในการแข่งขัน
จึงได้ตรวจสอบการดำเนินการธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล
ของกลุ่มไทยเบฟและแจ้งการประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์ม
ดิจิทัลให้ สพธอ. ทราบตามหลักเกณฑ์และภายในระยะเวลา
ดังกล่าว รวมทั้งมีมาตรการในการกำกับดูแลและติดตามให้
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงข้อมูลและ/หรือ
การปรับปรุงข้อมูลต่อ สพธอ. ตามกำหนดเวลาดังกล่าวต่อไป
นอกจากนี้ กลุ่มไทยเบฟจะมีการสร้างความตระหนักรู้ให้แก่
ผู้บริหารและพนักงานเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ของ สพธอ.
และระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2567 เป็นต้นไป โดยประกาศ
ฉบับนี้เป็นการจำกัดสิทธิของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล
ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับประวัติอาชญากรรม
ที่มิได้กระทำภายใต้การควบคุมของหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่
ตามกฎหมายภายใต้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ซึ่งผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจะกระทำได้เมื่อมีกฎหมายบัญญัติ
ให้กระทำได้ หรือได้รับความยินยอมโดยชัดแจ้งจากเจ้าของ
ข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้วัตถุประสงค์ที่จำกัดไว้ ได้แก่
การพิจารณารับบุคคลเข้าทำงาน หรือการตรวจสอบคุณสมบัติ
ลักษณะต้องห้าม หรือพิจารณาความเหมาะสมของบุคคลที่จะให้
ดำรงตำแหน่งใด หรือการตรวจสอบคุณสมบัติหรือลักษณะ
ต้องห้ามของบุคคลในการอนุญาต อนุมัติ รับรอง เห็นชอบ
ให้ความเห็น พิจารณา พิจารณาอุทธรณ์ ร้องทุกข์ หรือร้องเรียน
ดำเนินการ จ่ายเงิน ให้ได้รับสวัสดิการ หรือให้บริการอื่นแก่บุคคล
เท่านั้น
กลุ่มไทยเบฟให้ความสำคัญและเคารพในสิทธิความเป็นส่วนตัว
ของข้อมูลส่วนบุคคลจึงได้ให้หน่วยงานที่มีการเก็บข้อมูล
ส่วนบุคคลทำการทบทวนถึงความจำเป็นในการเก็บประวัติ
อาชญากรรม และดำเนินการให้มีมาตรการที่เหมาะสมเพื่อปฏิบัติ
ให้เป็นไปตามประกาศฉบับนี้ เช่น การปรับปรุงแบบฟอร์ม
ใบสมัครงานและจัดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของ
ข้อมูลดังกล่าวตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด โดยจะจัดเก็บ
ข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับประวัติอาชญากรรมไว้ไม่เกินกว่า
ระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด และเมื่อพ้นเวลาที่สามารถเก็บ
รวบรวมข้อมูลดังกล่าวไว้หรือหมดความจำเป็นจะต้องมีการลบ
หรือทำลายหรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวเป็นข้อมูลที่
ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ด้วยวิธีการที่เหมาะสม และมีมาตรการ
ในการตรวจติดตามและสอบทานการดำเนินการดังกล่าว
เป็นระยะ ๆ เพื่อลดความเสี่ยงขององค์กรและปกป้องสิทธิและ
เสรีภาพของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล