การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก่อให้เกิดผลกระทบในหลายมิติ ไม่เพียงแต่ในด้าน
สิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสภาวะเศรษฐกิจและชุมชนด้วย ไทยเบฟจึงเร่งดำเนินการ
วางแผนรับมือกับวิกฤตจากสภาพภูมิอากาศ ควบคู่ไปกับการมีส่วนร่วมในความพยายาม
จำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลง
ปารีส และเพื่อให้บริษัทสามารถรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ที่อาจเกิดขึ้น ไทยเบฟจึงให้ความสำคัญกับการจัดการความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพ
ภูมิอากาศตลอดจนแสวงหาโอกาสที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อความยั่งยืน
ในการดำเนินธุรกิจด้านเครื่องดื่มและอาหารในระยะยาว
ไทยเบฟตั้งเป้าที่จะปรับการดำเนินงานเพื่อมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
(Net-zero Emissions) โดยให้ความสำคัญกับการจัดการด้านพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ตลอดห่วงโซ่คุณค่า มุ่งเน้นการลดการใช้พลังงานโดยรวม เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงาน
หมุนเวียน (Renewable Energy) รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้เกิดการใช้
พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมทำงานร่วมกับคู่ค้าด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนา
กระบวนการให้ใช้พลังงานน้อยที่สุด และกำหนดกลยุทธ์ในการจัดการวัสดุบรรจุภัณฑ์
และของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยตระหนักถึงความจำเป็นในการเร่งดำเนินการเพื่อแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
เราจึงมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในขอบเขตที่ 1, 2
และ 3 ภายในปี 2593
กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของไทยเบฟครอบคลุมเป้าหมายด้าน
สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน
รวมถึงเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ทั้งทาง
ตรง (ขอบเขตที่ 1) ทางอ้อม (ขอบเขตที่ 2) และทางอ้อมอื่น ๆ
(ขอบเขตที่ 3) ภายในปี 2593 ภายใต้กลยุทธ์ “สรรสร้างการเติบโต
ที่ยั่งยืน” (Enabling Sustainable Growth) ซึ่งจะช่วยให้ไทยเบฟ
สามารถขับเคลื่อนไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและมีความยืดหยุ่น
ในธุรกิจ ปกป้องสิ่งแวดล้อม สนับสนุนชุมชนท้องถิ่นและยกระดับ
ธรรมาภิบาล
ไทยเบฟมุ่งมั่นในการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน โดยเพิ่ม
การลงทุนในเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ ที่ช่วยลดผลกระทบและ
ปรับตัวต่อการเปลี่บนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงส่งเสริมการใช้
พลังงานโดยรวมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด แนวทางนี้รวมไปถึง
การสร้างความตระหนักรู้ให้กับกลุ่มคู่ค้าและพันธมิตรเกี่ยวกับ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เราได้บูรณาการความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพ
ภูมิอากาศไว้ในกลยุทธ์และการดำเนินงานของเรา เพื่อเพิ่มความ
ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขณะเดียวกันก็เพิ่ม
การสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจและชุมชนที่เชื่อมโยงกัน บริษัทใช้กลยุทธ์นี้
ในการเปิดเผยความเสี่ยงและโอกาสทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ
สภาพภูมิอากาศ โดยใช้แนวทางของ Task Force on Climate-
related Financial Disclosure (TCFD) และ International
Financial Reporting Standards (IFRS) S2 เพื่อให้เกิด
ความโปร่งใสกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติ
ที่ดีที่สุดในระดับโลก
เพื่อเร่งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและขับเคลื่อนการลงทุน
คาร์บอนต่ำภายในองค์กร ไทยเบฟกำหนดราคาคาร์บอนภายใน
องค์กร (Internal Carbon Pricing: ICP) เพื่อประเมินผลกระทบ
ทางการเงินของการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่อธุรกิจของเรา ไทยเบฟ
ใช้การกำหนดราคาคาร์บอนภายในองค์กร (ICP) เพื่อประกอบ
การตัดสินใจในการลงทุนในโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
และหลีกเลี่ยงการตัดสินใจลงทุนในโครงการที่มีการปล่อยมลพิษสูง
ไทยเบฟกำหนดราคาคาร์บอนภายในองค์กร (ICP) ที่ 20 เหรียญ
สหรัฐต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าสำหรับการลงทุนใน
โครงการที่มีมูลค่ามากกว่า 10 ล้านบาทในช่วงปี 2563-2567 และใช้
ราคา 32 เหรียญสหรัฐต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าสำหรับ
การลงทุนในโครงการที่มีมูลค่ามากกว่า 5 ล้านบาทในช่วงปี 2568-2573
ไทยเบฟดำเนินการตรวจสอบการใช้พลังงานในแต่ละหน่วยธุรกิจ
เพื่อประเมินและปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในกระบวนการ
ต่าง ๆ รวมถึงการค้นหาวิธีลดการใช้พลังงานโดยใช้เทคโนโลยี
นวัตกรรมหรือแหล่งพลังงานทางเลือก โดยแต่ละหน่วยธุรกิจจะมี
กลุ่มงานการจัดการพลังงานเพื่อประเมินการใช้พลังงานและหาวิธี
ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ตลอดจน
แหล่งพลังงานหมุนเวียนและพลังงานทางเลือก โดยโรงงานจะมีการ
รายงานการใช้พลังงานของตนเองต่อกรมพัฒนาพลังงานทดแทน
และอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงานและเข้าร่วมการ
ประเมินการรับรองตามมาตรฐาน ISO 50001 โดยสมัครใจ
ซึ่งรวมถึงการรับรองการจัดการพลังงานจากหน่วยงานภายนอก
และในปี 2567 มีโรงงาน 14 แห่งในไทยเบฟที่ได้รับการรับรอง
มาตรฐาน ISO 50001
ไทยเบฟใช้นวัตกรรมในการพัฒนากระบวนการผลิตเพื่อเสริม
ความได้เปรียบในการแข่งขันและปรับปรุงคุณภาพสภาพแวดล้อม
ในการทำงานของพนักงาน นอกจากนี้ ยังใช้นวัตกรรมในการช่วย
ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมอีกด้วย
ในปี 2567 เราใช้งบประมาณ 221.37 ล้านบาทสำหรับโครงการ
ประหยัดพลังงานและพลังงานหมุนเวียน ซึ่งโครงการเหล่านี้
เป็นการลงทุนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- โครงการพลังงานหมุนเวียน: การติดตั้งแผงพลังงาน
แสงอาทิตย์ และการลงทุนในโรงงานผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพและ
เครื่องกำเนิดไอน้ำเชื้อเพลิงชีวมวล เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิง
ฟอสซิลและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- โครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: การติดตั้งเครื่องกำเนิด
ไอน้ำที่ใช้เชื้อเพลิงเป็นก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquefied
Petroleum Gas: LPG) ทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้หลายร้อยตัน
คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
- โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน: การลดการใช้
พลังงาน ผ่านการติดตั้งระบบมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง
และเครื่องอัดอากาศใหม่

ไทยเบฟได้รับการประกาศและรับรองจากโครงการริเริ่มการตั้ง
เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกตามหลักการทางวิทยาศาสตร์
(Science Based Targets Initiative: SBTi) จากการตั้งเป้าหมาย
การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะสั้นในปี 2573 และเป้าหมาย
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในระยะยาวสำหรับ
ปี 2593 เป้าหมายแรกคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทาง
ตรง (ขอบเขตที่ 1) และทางอ้อม (ขอบเขตที่ 2) ลงร้อยละ 42
และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ (ขอบเขตที่ 3)
ลงร้อยละ 25 ภายในปี 2573 นอกจากนี้ ภายในปี 2593 ไทยเบฟ
มีเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์สำหรับ
ขอบเขตที่ 1, 2 และ 3
เราตั้งเป้าที่จะบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
โดยร่วมมือกับคู่ค้าและพันธมิตรของเรา โดยทำงานร่วมกัน
อย่างใกล้ชิดเพื่อนำเทคโนโลยีและแนวทางปฏิบัติใหม่ ๆ มาใช้
และร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เรามั่นใจว่าการลด
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะถูกบูรณาการตลอดทั้งห่วงโซ่
คุณค่าผ่านความร่วมมือเหล่านี้
หมายเหตุ: ไม่รวมการดำเนินงานภายใต้ F&N