เพื่อให้การดำเนินงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนมีประสิทธิภาพและสอดคล้อง
ตามกรอบการรายงานตามมาตรฐาน Global Reporting Initiative (GRI)
บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จึงได้จัดทำการประเมิน/ทบทวนประเด็นสำคัญ
ทางด้านความยั่งยืนเป็นประจำทุกปี โดยครอบคลุมประเด็นด้านความยั่งยืน
ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ตามบริบทขององค์กร
และสอดคล้องกับประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสนใจ รวมถึงสอดคล้องกับอุตสาหกรรม
อาหารและเครื่องดื่ม
ไทยเบฟยึดถือแนวทางการประเมินผลกระทบ ได้ดำเนินการตาม
หลักการทวิสารัตถภาพ หรือ Double Materiality Principle
เพื่อประเมินและจัดลำดับความสำคัญของประเด็นที่มีโอกาส
ส่งผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และส่งผลกระทบต่อการดำเนินการด้านความยั่งยืนขององค์กรในการนี้ไทยเบฟได้ดำเนินการตั้งแต่
ขั้นตอนการศึกษาและทำความเข้าใจบริบทด้านความยั่งยืนขององค์กร การระบุผลกระทบที่เกิดขึ้นและมีโอกาสเกิดขึ้น (Identify Actual and Potential Impact) การประเมินความสำคัญของผลกระทบ (Assess the Significance of the Impact) ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม
(Engagement) กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภายในและภายนอก
รวมถึงที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน ก่อนเข้าสู่การจัดลำดับประเด็นสำคัญสูงสุด (Priorities Most Significant)
โดยยึดแนวทางการประเมินความเสี่ยงขององค์กร (Enterprise
Risk Management) รวมถึงการทดสอบประเด็นกับผู้เชี่ยวชาญ
เพื่อยืนยันผลการประเมินก่อนนำเสนอต่อคณะกรรมการบริษัท
ในการอนุมัติเห็นชอบประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน ซึ่งขั้นตอน
การประเมินประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน มีรายละเอียดดังนี้
ตามบริบทของการดำเนินงาน และกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของ
กลุ่มบริษัทฯ ไทยเบฟได้ทำการศึกษาประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน เพื่อให้มีความสอดคล้องกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน (Global Trends) โดยพิจารณากำหนดประเด็น
ผ่านการทำการวิจัยจากแหล่งข้อมูลหลากหลาย เช่น งานวิจัยของสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum: WEF) องค์กรผู้จัด
ทำดัชนีและประเมินความยั่งยืน (S&P Global) ประเด็นสาระสำคัญ
ที่ระบุโดยคณะกรรมการมาตรฐานการบัญชีเพื่อความยั่งยืน (SASB) รวมไปถึงข้อกำหนดสากลต่าง ๆ เช่น เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDGs) โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงการศึกษารายงาน
ของบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน และรายงานประเด็น
ความสำคัญที่กลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภายในและภายนอก
ให้ความสนใจ จนสามารถรวบรวมประเด็นด้านความยั่งยืนที่สอดคล้องกับบริบทของไทยเบฟ และคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อ
ความยั่งยืนของบริษัท เพื่อนำไปสู่การประเมินผลกระทบและโอกาส
ที่จะเกิดขึ้นจากประเด็นสำคัญในขั้นตอนถัดไป
เพื่อให้ได้ความเห็นจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และผู้เชี่ยวชาญ
ในฐานะที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน ในด้านผลกระทบที่เกิดขึ้น (Actual Impact) และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น (Potential Impact) ไทยเบฟได้ดำเนินกิจกรรมการมีส่วนร่วม (Engagement ) กับผู้เชี่ยวชาญและ
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก (Key Stakeholder) ทั้งภายในและภายนอก โดยในขั้นตอนแรกได้ขอให้ผู้เชี่ยวชาญทำการวิเคราะห์และให้ความเห็นต่อประเด็นที่มีโอกาสส่งผลกระทบต่อการดำเนินการด้านความยั่งยืนของไทยเบฟ รวมถึงส่งผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงรูปแบบ
ของผลกระทบที่มีโอกาสเกิดขึ้น
จากนั้น บริษัทฯ ได้ดำเนินการตามหลักการทวิสารัตถภาพ หรือ Double Materiality Principle โดยจัดทำแบบประเมินประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนผ่านช่องทางออนไลน์ (Google Form) เพื่อให้ผู้มีส่วนได้
ส่วนเสียหลัก (Key Stakeholder) ทั้งภายในและภายนอกได้มี
ส่วนร่วมในการประเมินผลกระทบเชิงบวกและเชิงลบ (Positive
และ Negative Impact) จากการดำเนินกิจกรรมของไทยเบฟ
ในแต่ละประเด็น ซึ่งครอบคลุมทั้งประเด็น ด้านธรรมาภิบาล/ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยแบบสำรวจได้มีการออกแบบตามแนวทางการประเมินความเสี่ยงขององค์กร (Enterprise Risk Management) จากความน่าจะเป็นของโอกาสที่อาจเกิดขึ้นจริงและโอกาสที่คาดว่า
จะเกิด (Actual และ Potential Likelihood)
รวมถึงประเมินความรุนแรง (Severity) ของผลกระทบทั้งเชิงบวก
และเชิงลบ ซึ่งได้แบ่งระดับความรุนแรงของผลกระทบออกเป็น
4 ระดับ ได้แก่ (1) ต่ำ (2) ค่อนข้างต่ำ (3) ค่อนข้างสูงและ
(4) สูง ดังภาพ
โดยผลจากการสำรวจที่ได้จากแต่ละกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก
จะถูกรวบรวมและนำมาทำการวิเคราะห์รวมกัน เพื่อนำเสนอให้
คณะทำงานด้านการพัฒนาความยั่งยืน (SDWT) และผู้บริหารของกลุ่มไทยเบฟในลำดับถัดไป
ในขั้นตอนนี้ ไทยเบฟดำเนินการพิจารณาประเด็นสำคัญต่าง ๆ
อีกครั้งตามหลักการทวิสารัตถภาพ หรือ Double Materiality Principle โดยประเมินถึงผลกระทบของแต่ละประเด็นต่อ
การดำเนินการด้านความยั่งยืน ซึ่งคณะทำงานด้านการพัฒนาความยั่งยืน (SDWT) จะร่วมกันกำหนดระดับความรุนแรงของผลกระทบของประเด็นที่มีความสำคัญ (Materiality Threshold)
ทั้งในมิติการเงินและมิติอื่นที่ไม่ใช่การเงิน โดยอ้างอิงหลักเกณฑ์
ตามแนวทางการประเมินความเสี่ยงขององค์กร (Enterprise Risk Management) จากนั้นจะพิจารณาผลสำรวจที่ได้จากกลุ่ม
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก ก่อนดำเนินการประเมินและจัดลำดับประเด็น
ที่มีความสำคัญและส่งผลกระทบสูงสุด (Most Significant)
ต่อไทยเบฟ
เพื่อเป็นการยืนยันผลการประเมิน ไทยเบฟได้ดำเนินการทดสอบประเด็น (Materiality Test) กับผู้เชี่ยวชาญอิสระที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ
บริษัท ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อขอความเห็นต่อกระบวนการประเมิน และประเด็นสาระสำคัญ ก่อนนำผลทั้งสองส่วนนำเสนอต่อคณะกรรมการบริษัทเพื่อขอความเห็น และลำดับความสำคัญสูงสุด (Priorities Most Significant) เพื่อใช้เป็นแนวทางในการบริหารจัดการด้านความยั่งยืน และการเปิดเผยข้อมูลในเล่มรายงานต่อไป
ประเด็นด้านความยั่งยืนที่สำคัญของไทยเบฟ
- การบริหารจัดการน้ำและอนุรักษ์แหล่งน้ำ
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- การบริหารจัดการของเสียและเศรษฐกิจหมุนเวียน
- การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน
- การกำกับดูแลองค์กรและจรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ
- คุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์
- ความปลอดภัยของข้อมูลและความเป็นส่วนตัว
- การพัฒนาชุมชนและความร่วมมือ
- การสร้างแรงจูงใจและการรักษาพนักงานที่มีความสามารถ
- การพัฒนาบุคลากร