กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของไทยเบฟมีเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนให้บรรลุ
เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ทั้งทางตรง
(ขอบเขตที่ 1) และทางอ้อม (ขอบเขตที่ 2) ภายในปี 2583
กลยุทธ์นี้จะช่วยให้ไทยเบฟสามารถขับเคลื่อนไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและมีความยืดหยุ่นในธุรกิจ ปกป้องสิ่งแวดล้อม สนับสนุนชุมชน
ท้องถิ่นและยกระดับธรรมาภิบาล ตามเป้าหมายทางกลยุทธ์
“สรรสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน” (Enabling Sustainable Growth) เพื่อสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ
เป็นศูนย์
ไทยเบฟมุ่งมั่นในการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน โดยเพิ่มลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและศึกษาเทคโนโลยีพลังงานคาร์บอนต่ำ
รวมถึงส่งเสริมประสิทธิภาพการใช้พลังงานโดยรวมให้เกิดประสิทธิภาพ
สูงสุด ขณะเดียวกันได้สร้างจิตสำนึกและความเข้าใจในการลดการใช้พลังงานให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ไทยเบฟให้ความสำคัญกับความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลง
สภาพภูมิอากาศ โดยได้สร้างแนวทางในการดำเนินงานเพื่อปรับปรุง
และเพิ่มความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ไปพร้อม ๆ กับการสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจและชุมชน บริษัทใช้แนวทางนี้
ในการเปิดเผยความเสี่ยงทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามแนวปฏิบัติของการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ หรือ Task Force on Climate-related Financial Disclosure (TCFD) เพื่อความโปร่งใสต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ทุกฝ่ายและสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติที่ดีตามมาตรฐานสากล
คณะกรรมการบริษัทของไทยเบฟติดตามผลการปฏิบัติงาน
ด้านการบริหารจัดการ ชี้นำกลยุทธ์องค์กร และบูรณาการมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมเพื่อผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยจัดตั้งคณะกรรมการบริหารความยั่งยืนและความเสี่ยง (SRMC) ซึ่งประกอบด้วยกรรมการอิสระ กรรมการบริหาร และผู้บริหารระดับสูง เพื่อวางแผนกลยุทธ์การพัฒนาที่ยั่งยืน และบริหารความเสี่ยง
ของกลุ่มไทยเบฟ ซึ่งคณะกรรมการนี้ต้องรายงานตรงต่อ
คณะกรรมการบริษัท
ไทยเบฟทำการวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ ประเมินความเสี่ยงทางกายภาพและความเสี่ยงในการเปลี่ยนผ่าน
รวมทั้งวิเคราะห์โอกาสความเสี่ยงและเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ (TCFD) โดยจัดการฝึกอบรมให้ทุกหน่วยงานในองค์กร ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจในความรับผิดชอบต่อความยั่งยืนและการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไทยเบฟได้นำตัวชี้วัด (KPI)
ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล (ESG) และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไปเชื่อมโยงกับเป้าหมายการปฏิบัติงานและแรงจูงใจด้านการเงินของพนักงาน
ไทยเบฟกำหนดกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาและเพิ่มความสามารถในการจัดการ
กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน
ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจและชุมชนอีกด้วย
ไทยเบฟพัฒนากลยุทธ์ด้านสภาพภูมิอากาศและดำเนินโครงการตลอดห่วงโซ่คุณค่าเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น พร้อมสร้างโอกาสจากผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ อาทิ โครงการเก็บกักน้ำใต้ดิน โครงการกักเก็บน้ำฝน โครงการสร้างความมีส่วนร่วมของคู่ค้า โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ โครงการปลูกป่า
และฟื้นฟูป่าชายเลน และโครงการริเริ่มการทำเกษตรอินทรีย์
นอกจากนั้นไทยเบฟใช้กลยุทธ์ด้านสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยหนึ่งในการวางแผนทางการเงิน
ไทยเบฟวิเคราะห์สถานการณ์เชิงลึกทางกายภาพ รวมถึงความเสี่ยงและโอกาสในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยใช้สถานการณ์จำลองการปล่อย
ก๊าซเรือนกระจก (RCP) จากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วย
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) โดยพิจารณาถึง
ภัยธรรมชาติ ดังต่อไปนี้: น้ำท่วมจากแม่น้ำ พายุ ความเครียดจากน้ำ
การหนุนของน้ำทะเล และอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น โดยการประเมิน
ความเสี่ยงนี้ได้ดำเนินการตามมาตรฐาน Stated Policies Scenario (STEPS) และ Sustainable Development Scenario (SDS)
ของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA)
ยกระดับการรับมือกับ
ไทยเบฟและสนับสนุน
เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
ให้สอดคล้องกับทิศทาง
การจำกัดการเพิ่มของ
อุณหภูมิไว้ที่
1.5-2 องศาเซลเซียส |
เพื่อปรับตัวและการบรรเทา
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมทั้งสร้างมูลค่าให้กับ
ธุรกิจของไทยเบฟและชุมชน
|
ไทยเบฟวิเคราะห์สถานการณ์เชิงลึกทางกายภาพ รวมถึงความเสี่ยงและโอกาสในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยใช้สถานการณ์จำลองการปล่อย
ก๊าซเรือนกระจก (RCP) จากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วย
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) โดยพิจารณาถึง
ภัยธรรมชาติ ดังต่อไปนี้: น้ำท่วมจากแม่น้ำ พายุ ความเครียดจากน้ำ
การหนุนของน้ำทะเล และอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น โดยการประเมิน
ความเสี่ยงนี้ได้ดำเนินการตามมาตรฐาน Stated Policies Scenario (STEPS) และ Sustainable Development Scenario (SDS)
ของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA)
ไทยเบฟบูรณาการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศเข้ากับกระบวนการบริหารความเสี่ยงแบบสหสาขาวิชาชีพทั่วทั้งบริษัทด้วย
5 ขั้นตอนที่ครอบคลุมการประเมินขนาดและขอบเขตของความเสี่ยง
การจัดอันดับ ประเมิน และกำหนดขอบเขตความเสี่ยงอยู่ภายใต้
การดูแลของคณะกรรมการบริหารความยั่งยืนและความเสี่ยง (SRMC) ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบการจัดการความเสี่ยงและความยั่งยืน และติดตามผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานของบริษัทตลอดจนการวางแผนและการดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้ เพื่อให้สามารถกำกับดูแลได้อย่างครอบคลุมทั่วทั้งองค์กร ทั้งนี้
การบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศได้ถูกฝังอยู่
ในกระบวนการบริหารความเสี่ยงโดยรวมของไทยเบฟ
ไทยเบฟได้สร้างระบบและฐานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อให้
การรวบรวมและคำนวณข้อมูลเป็นไปตามมาตรฐาน โดยรวบรวมข้อมูลด้านพลังงาน การปล่อยมลพิษ การใช้น้ำ การปล่อยน้ำเสีย
ของเสีย และข้อมูลการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม
รวมถึงขยายการจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจก ไปยังการปล่อย
ก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมตลอดห่วงโซ่คุณค่าขององค์กร
(ขอบเขตที่ 3) ตามมาตรฐานการทําบัญชีก๊าซเรือนกระจก
(GHG Protocol) โดยไทยเบฟได้ทำการประเมินการปล่อย
ก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมตลอดห่วงโซ่คุณค่าขององค์กร
(ขอบเขตที่ 3) ครั้งแรกในปีงบประมาณ 2562 และเริ่มจัดทำบัญชี
เพื่อเปิดเผยต่อสาธารณชนตั้งแต่ปีงบประมาณ 2564
ฐานข้อมูลนี้ใช้ในการวัดปริมาณกิจกรรมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้แก่
- การเผาไหม้แบบอยู่กับที่ (รวมถึงการปล่อยก๊าซชีวภาพ)
- การเผาไหม้แบบเคลื่อนที่ (รวมถึงการปล่อยก๊าซชีวภาพ)
- การเผาก๊าซชีวภาพ
- ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการอัดลม (การปล่อยโดยตรง)
- การปล่อยก๊าซไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs)
และซัลเฟอร์เฮกซาฟลูออไรด์ (SF6)
- การปล่อยสารระเหยจากการบำบัดน้ำเสีย
- ไฟฟ้าและไอน้ำที่ซื้อมาเพื่อใช้เองโดยวัดปริมาณการปล่อย
ก๊าซเรือนกระจกจากพื้นที่การใช้งาน (ใช้ตัวแปรค่าการปล่อย
ก๊าซเรือนกระจกจากการใช้ไฟฟ้าเท่านั้น) และจากการจำหน่ายสินค้า (ใช้ตัวแปรค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้ไฟฟ้ารวมกับเครื่องมือวัดปริมาณกิจกรรมจากการจำหน่ายสินค้า) เพื่อคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (ขอบเขตที่ 2)
- หมวดหมู่ 1-7, 9, 11, 12, 15 เท่านั้น
ข้อมูลผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมของไทยเบฟผ่านการรับรองจากบุคคลภายนอกเป็นประจำทุกปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการรายงานด้านความยั่งยืน (ดูหน้า 188-189 ของรายงานฉบับนี้)
นอกจากนี้ท่านยังสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจากรายงานการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ (TCFD) ด้วย
โครงการพลังงานหมุนเวียนมีส่วนสำคัญในการลดการพึ่งพา
เชื้อเพลิงฟอสซิล ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสร้างอนาคต
ทางพลังงานที่ยั่งยืนมากขึ้นทั่วโลก โครงการดังกล่าวมีบทบาทสำคัญในการบรรลุเป้าหมายของการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน สนับสนุนความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมนวัตกรรมใน
กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงาน
ในปี 2566 ไทยเบฟได้ติดตั้งเครื่องกำเนิดไอน้ำเชื้อเพลิงชีวมวล
ขนาด 30 ตัน ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ด้วยงบประมาณลงทุน
160 ล้านบาท โดยใช้อินทรียวัตถุ เช่น เศษไม้ ขี้เลื่อย และกะลาปาล์ม และยังออกแบบให้สามารถใช้เศษฉลากจากกระบวนการล้างขวด
กากตะกอนจากกระบวนการบำบัดน้ำเสีย และกากใบชาเพื่อผลิตไอน้ำทดแทนการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล
เครื่องกำเนิดไอน้ำเชื้อเพลิงชีวมวลนี้สามารถผลิตพลังงานความร้อน 273,000 เมกะจูล (MJ) ซึ่งนำไปสู่การลดการใช้น้ำมันเตา และถ่านหินสำหรับการผลิตไอน้ำลงได้ 1.8 ล้านลิตร และ 18 ล้านกิโลกรัม ทำให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 48,632 เมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์
เทียบเท่าต่อปี และลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานประมาณ 93 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ โรงงานผลิตไอน้ำเชื้อเพลิงชีวมวลนี้ยังสามารถลดของเสียที่ต้องฝังกลบได้ประมาณ 6,000 เมตริกตันต่อปี
ขณะเดียวกัน โรงงานสุราในประเทศเมียนมายังใช้เครื่องกำเนิดไอน้ำเชื้อเพลิงชีวมวลเพื่อผลิตไอน้ำ โดยใช้แกลบและเศษไม้เป็นแหล่งพลังงาน
โครงการพลังงานแสงอาทิตย์เฟส 1-3 ครอบคลุมการติดตั้ง
แผงพลังงานแสงอาทิตย์บริเวณหลังคาอาคารและแผงพลังงาน
แสงอาทิตย์ลอยน้ำที่โรงงานสุรา โรงงานเบียร์ โรงงานเครื่องดื่ม
ไม่มีแอลกอฮอล์ และโรงงานอาหารทั้งในประเทศไทย เมียนมา
และเวียดนาม จำนวนทั้งหมด 40 โรงงาน รวมกำลังการผลิตไฟฟ้า
ทั้งสิ้น 42.48 เมกะวัตต์ โดยแผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งสามารถผลิตไฟฟ้าได้มากถึง 29,383 เมกะวัตต์-ชั่วโมง (MWh) ซึ่งช่วยลด
ค่าใช้ไฟฟ้าจากเดิมที่ใช้ไฟฟ้าจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)
ได้ถึง 123.41 ล้านบาทต่อปี และในปี 2566 สามารถลดการปล่อย
ก๊าซเรือนกระจกได้ 13,799 เมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
ในปี 2566 ไทยเบฟได้เริ่มขยายโครงการเฟส 4 เพื่อติดตั้ง
แผงพลังงานแสงอาทิตย์ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจในประเทศไทย โดยติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์บริเวณหลังคาอาคาร และ
แผงพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำที่โรงงานเบียร์และโรงงานเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ โดยมีเป้าหมายผลิตไฟฟ้าให้ได้ 14.05 เมกะวัตต์
หรือคิดเป็นมูลค่าการลดค่าใช้ไฟฟ้า 107.3 ล้านบาทต่อปี และลด
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 9,801 เมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี การลงทุนทั้งหมดในโครงการนี้ประมาณ
394.43 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2567
ส่วนในประเทศเวียดนามมีความมุ่งมั่นที่จะขยายโครงการพลังงานแสงอาทิตย์บริเวณหลังคาอาคารให้ครอบคลุมทุกโรงงาน
ไทยเบฟมีโรงงานผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพรวม 7 แห่ง โดยใช้น้ำกากส่า
ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตแอลกอฮอล์มาใช้ในการผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อผลิตไอน้ำแทนพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล โรงงานเหล่านี้ผลิตพลังงานความร้อนได้สูงถึง 517,250,951 เมกะจูล (MJ)
ซึ่งนำไปสู่การลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลงได้ถึง 12.8 ล้านลิตรต่อปี
คิดเป็นค่าใช้จ่ายที่ลดลง 220 ล้านบาทต่อปี โรงงานผลิตก๊าซชีวภาพเหล่านี้ยังประสบความสำเร็จในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อปีได้ 11,891 เมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า นอกจากนี้
ก๊าซชีวภาพส่วนเกินจากกระบวนการผลิตไอน้ำสามารถนำไปผลิตไฟฟ้าได้ 37,219 เมกะวัตต์-ชั่วโมง (MWh) และจำหน่ายให้กับ
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้อีกด้วย
ในปี 2566 จะมีการก่อสร้างโรงงานผลิตก๊าซชีวภาพที่โรงงานสุรา
ในจังหวัดราชบุรี ด้วยเงินลงทุน 187 ล้านบาท โครงการนี้จะสามารถลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับการผลิตไอน้ำได้ถึง 1.5 ล้านลิตร
และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 20,205 เมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2567
โรงงานเบียร์ของไทยเบฟทุกแห่งในประเทศไทยและเวียดนาม
ได้มีการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการหมัก
ในการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กลับมาใช้ใหม่ในกระบวนการผลิตเบียร์และเครื่องดื่มอัดลม เช่น โซดาและเบียร์ ซึ่งเป็นกระบวนการ
ที่ช่วยสร้างความยั่งยืนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
ในปี 2566 โครงการนี้สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานประมาณ 268.33 ล้านบาทต่อปี และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้
53,667 เมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
ไทยเบฟยังคงขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ
ลดคาร์บอนฟุตพรินต์ (CFR) เพื่อแสดงการลดการปล่อย
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของผลิตภัณฑ์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 2
เมื่อเทียบกับปีฐานตามที่องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) กำหนด
โครงการลดคาร์บอนฟุตพรินต์ (CFR) ช่วยให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วม
ในการหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ด้วย
การซื้อผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ
53
จำนวนผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรอง
การลดคาร์บอนฟุตพรินต์
91
จำนวนผลิตภัณฑ์ที่ได้รับเครื่องหมาย
คาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์
9.4%
รายได้จากผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ
(% ของรายได้รวม)
ไทยเบฟได้ส่งเสริมการลงทุนในโครงการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ไทยเบฟเข้าร่วมโครงการป่าชุมชนกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง โดยเดินหน้าขยายป่าชุมชนด้วยกลไกคาร์บอนเครดิตจากป่าไม้เพื่อการพัฒนา
ที่ยั่งยืน โดยมีเป้าหมายเพื่อผสานการพัฒนาชนบทกับการอนุรักษ์
ป่าไม้ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย
โดยในปี 2567 โครงการระยะที่ 3 มีเป้าหมายเพิ่มพื้นที่ 32,950 ไร่ (5,272 เฮกตาร์)
คาร์บอนเครดิตจะได้รับการขึ้นทะเบียนภายใต้บัญชีของไทยเบฟ
ตามโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐาน
ของประเทศไทย (T-VER) และนำไปใช้เพื่อชดเชยการปล่อย
ก๊าซเรือนกระจกขององค์กรหรือนำไปบริจาคเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้น คาดว่าโครงการนี้จะดำเนินการเสร็จสิ้นภายในสิบปี
พื้นที่โดยรวม
ไร่
(2,182 เฮกตาร์)
พื้นที่โดยรวม
32,505 ไร่
(5,201 เฮกตาร์)
ไทยเบฟร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อส่งเสริมการพัฒนาคู่ค้าผ่านเครือข่ายธุรกิจห่วงโซ่อุปทานแห่งประเทศไทย (TSCN)
โดยแบ่งปันองค์ความรู้ด้านแนวทางปฏิบัติด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยจัดทำการฝึกอบรม/สัมมนาผ่าน Thailand Sustainability Academy (TSA) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก 9 บริษัทเอกชนชั้นนำ
ในประเทศผู้ก่อตั้งเครือข่ายธุรกิจห่วงโซ่อุปทานแห่งประเทศไทย
ในปี 2566 TSA ประสบความสำเร็จในการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ
ครั้งแรกในหัวข้อ “พลังหนึ่งเดียว การดำเนินการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก” เพื่อให้ความรู้ด้านการจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจกทางตรง (ขอบเขตที่ 1) และทางอ้อม (ขอบเขตที่ 2) ที่ศูนย์ ซี อาเซียน
(C asean) ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยได้รับเกียรติจาก
บริษัทผู้ก่อตั้งเครือข่ายธุรกิจห่วงโซ่อุปทานแห่งประเทศไทย
เช่น บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน)
และบริษัท ไทยเบเวอร์เรจแคน จำกัด พร้อมที่ปรึกษาชั้นนำด้าน
การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน เพื่อเสริมศักยภาพพันธมิตรทางธุรกิจ
โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมกว่า 70 ราย จาก 49 บริษัท
เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในทางตรง (ขอบเขตที่ 1) และทางอ้อม (ขอบเขตที่ 2) ภายในปี 2583 และทางอ้อมตลอดห่วงโซ่คุณค่าขององค์กร (ขอบเขตที่ 3)
ภายในปี 2593 ไทยเบฟได้สร้างแผนงานตามแนวทางการเปลี่ยนแปลง
สภาพภูมิอากาศตามหลักวิทยาศาสตร์ (Science-based Targets Initiative (SBTi) โดยขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดเตรียมข้อมูลเพื่อขอการรับรอง ซึ่งคาดว่าจะผ่านการรับรองภายในปีหน้า
เพื่อเร่งลดการปล่อยมลพิษและขับเคลื่อนการลงทุนด้านคาร์บอนต่ำไทยเบฟใช้การกำหนดราคาคาร์บอนภายในองค์กร (Internal Carbon Price; ICP) เพื่อเชื่อมโยงด้านผลกระทบจากการปล่อยคาร์บอนทั้งหมดกับต้นทุนการดำเนินงาน อัตรากำไร และผลประกอบการ
โดยรวม และเพื่อคำนวณผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการปล่อยคาร์บอนที่มีต่อธุรกิจและกิจกรรมของบริษัท รวมถึงความเสี่ยง
และโอกาสในการปรับเปลี่ยนเพื่อตอบรับความเปลี่ยนแปลงด้าน
สภาพภูมิอากาศและการลงทุนในเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ โดย
ไทยเบฟกำหนดราคาคาร์บอนภายในองค์กร (ICP) เป็นราคาฐานเพื่อตัดสินใจในการลงทุนซื้อสินทรัพย์ระยะยาว (CAPEX) ในโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และหลีกเลี่ยงการตัดสินใจลงทุนซื้อสินทรัพย์ระยะยาว (CAPEX) ในโครงการที่ปล่อยมลพิษสูง ไทยเบฟ
กำหนดราคาคาร์บอนภายในองค์กร (ICP) ที่ 20 ดอลลาร์สหรัฐต่อเมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าในการลงทุน โครงการที่มูลค่ามากกว่า 10 ล้านบาท ในช่วงปี 2563-2567 และจะใช้ราคา 32 ดอลลาร์สหรัฐต่อเมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าในการลงทุนโครงการที่มูลค่ามากกว่า 5 ล้านบาท ในช่วงปี 2568-2573
8.72%
การลดการปล่อย
ก๊าซเรือนกระจก
โดยรวม เมื่อเปรียบเทียบ
กับปีฐาน 2562
43.11
กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์
เทียบเท่าต่อเฮกโตลิตร
(กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม ในปี 2566)* |
0.68
กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อกิโลกรัม
(กลุ่มธุรกิจอาหาร ในปี 2566) |
หมายเหตุ:
ไม่รวมการดำเนินการในประเทศเวียดนาม
อัตราส่วนของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มรวมประเทศเวียดนามในปีงบประมาณ 2566 คือ 36.07 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์
เทียบเท่าต่อเฮกโตลิตร
การซื้อสินค้าและบริการ |
เมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า |
1,578,023 |
ผสมผสานข้อมูลอ้างอิงจากคู่ค้า
และข้อมูลอ้างอิงตามมาตรฐาน |
สินทรัพย์ที่เป็นทุน |
เมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า |
56,283 |
ข้อมูลจากค่าใช้จ่าย |
กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิง
และพลังงาน
|
เมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า |
103,871 |
ข้อมูลของเชื้อเพลิงและพลังงานที่ใช้ |
การขนส่งและกระจายสินค้าต้นน้ำ |
เมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า |
86,771 |
ข้อมูลจากค่าใช้จ่ายและข้อมูลกิจกรรม
จากการขนส่งวัตถุดิบ |
การกำจัดของเสียจากการดำเนิน
กิจกรรมขององค์กร |
เมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า |
7,323 |
ข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมของเสียที่เกิดขึ้น |
การเดินทางเพื่อธุรกิจ |
เมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า |
182 |
ข้อมูลกิจกรรมการเดินทางเพื่อธุรกิจ |
การเดินทางของพนักงาน |
เมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า |
9,489 |
ข้อมูลจากการสำรวจของพนักงาน |
การขนส่งและกระจายสินค้าปลายน้ำ |
เมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า |
40,892 |
ข้อมูลกิจกรรมจากการขนส่งภายนอก |
การใช้งานของผลิตภัณฑ์
ที่องค์กรจำหน่าย |
เมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า |
39,939 |
ข้อมูลเกี่ยวกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ในผลิตภัณฑ์ที่ขายไป |
การกำจัดซากของผลิตภัณฑ์
ที่องค์กรจำหน่าย |
เมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า |
894 |
ข้อมูลเกี่ยวกับวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่นำมารีไซเคิล |
การลงทุน |
เมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า |
32,804 |
ข้อมูลกิจกรรมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ที่รายงานโดยการลงทุน |
37%
สัดส่วนการใช้พลังงาน
หมุนเวียนภายในองค์กร
213.6
เมกะจูลต่อเฮกโตลิตร
(กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มในปี 2566)
|
6.87
เมกะจูลต่อกิโลกรัม
(กลุ่มธุรกิจอาหารในปี 2566)
|
หมายเหตุ:
- ไม่รวมการดำเนินการในประเทศเวียดนาม
- อัตราส่วนการใช้พลังงานของกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มรวมประเทศเวียดนามในปีงบประมาณ 2566 คือ 189.40 เมกะจูลต่อเฮกโตลิตร
กระทรวงพลังงานมอบรางวัล Thailand Energy Awards
ให้กับองค์กรที่ขับเคลื่อนการพัฒนาพลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงานในประเทศไทย โดยมีแนวคิดว่า “สร้างผลงานเป็นที่โดดเด่นเห็นผลเป็นรูปธรรม พาประเทศไทยผงาดเป็นผู้นำด้านพลังงานระดับอาเซียนอย่างยั่งยืน”
ในปี 2566 ไทยเบฟได้รับรางวัลดังต่อไปนี้
- รางวัลดีเด่น – ด้านพลังงานทดแทน โครงการพลังงานทดแทนแบบที่ไม่เชื่อมโยงกับระบบสายส่งไฟฟ้า (ความร้อน) - โครงการผลิตพลังงานหมุนเวียนจากน้ำกากส่าจากกระบวนการผลิตแอลกอฮอล์ โดยบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด
(จังหวัดหนองคาย)
- รางวัลดีเด่น – ด้านพลังงานทดแทน โครงการพลังงานทดแทนแบบที่ไม่เชื่อมโยงกับระบบสายส่งไฟฟ้า (ความร้อน) -
โครงการผลิตพลังงานทดแทนจากน้ำกากส่าจากกระบวนการผลิตแอลกอฮอล์ โดยบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด
(จังหวัดนครสวรรค์)
- รางวัลดีเด่น – ด้านบุคลากร ทีมงานด้านการจัดการพลังงานโรงงานควบคุม โดยบริษัท คอสมอส บริวเวอรี่ (ประเทศไทย) จำกัด