หน้าแรก / การพัฒนาที่ยั่งยืน ไทยเบฟกับโควิด 19
ไทยเบฟกับการเตรียมความพร้อมรับมือโรคระบาด
ประเด็นด้านความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ ปี 2563
ไทยเบฟกับแผนรองรับในอนาคต
ประเด็นด้านความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ ปี 2563
นอกจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในการดำเนินงานตามปกติ ไทยเบฟยังได้พิจารณาและให้ความสำคัญกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ (Emerging Risks) ตามที่เปิดเผยในรายงานประจำปี 2563 อาทิ การเพิ่มขึ้นของประชากรสูงวัยในหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย ซึ่งการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้นพร้อมทั้งมีความคาดหวังสูงขึ้นต่อคุณภาพ มาตรฐานและความปลอดภัยของอาหารและเครื่องดื่ม ประกอบกับภาครัฐให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างสุขภาพอนามัยของประชากรทุกเพศ ทุกวัยเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะประชากรผู้สูงอายุ ด้วยการแก้ไขและปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการที่มีผลต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยไทยเบฟได้ยึดมั่นกับผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัยตามกลยุทธ์ด้านสุขภาพและโภชนาการ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและอาหารเพื่อสุขภาพที่สามารถตอบสนองพฤติกรรมการบริโภคของแต่ละกลุ่มผู้บริโภคหรือช่วงอายุ มีการออกแบบและพัฒนาฉลากและบรรจุภัณฑ์ที่สื่อสารถึงข้อมูลและคุณค่าทางโภชนาการแก่ผู้บริโภค

อย่างไรก็ตาม ไทยเบฟตระหนักดีว่าทุกประเทศยังคงเผชิญปัญหาด้านสาธารณสุขรวมถึงปัญหาด้านสุขภาพอนามัยของประชากรที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากโรคระบาดและมลภาวะต่าง ๆ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตและการดำเนินธุรกิจ เช่น การระบาดของโรคไข้หวัดนกในปี 2530 โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรงหรือโรคซาร์ส ในปี 2545 โรคไข้หวัดใหญ่ในสุกร (Swine Flu) ในปี 2552 และวิกฤตการณ์มลพิษทางอากาศ PM2.5 ที่เกิดขึ้นล่าสุดในหลายประเทศ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพและวิถีชีวิตของคน และธุรกิจทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค การบริหารจัดการกับภัยคุกคามที่เกิดจากวิกฤติดังกล่าวมีความสำคัญต่อความอยู่รอดของธุรกิจ ไทยเบฟได้จัดทำแผนและมาตรการด้านความต่อเนื่องทางธุรกิจเพื่อสร้างความมั่นใจในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องของบริษัทให้แก่พนักงานและผู้มีส่วนได้เสียอื่น ๆ

จากวิกฤตการณ์ด้านสาธารณสุขล่าสุดที่เกิดขึ้นทั่วโลกจากการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 (coronavirus 2019 หรือ COVID-19) เป็นความเสี่ยงหนึ่งที่มีนัยสำคัญส่งผลกระทบต่อสุขภาพและวิถีการดำรงชีวิตของผู้คนในสังคมธุรกิจหลายประเภทต้องหยุดชะงัก และส่งผลต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียงของธุรกิจอันเนื่องมาจากความสามารถในการบริหารจัดการ การตอบสนองหรือการรับมือของธุรกิจในช่วงวิกฤตโรคไวรัสโควิด-19 นี้ เมื่อเกิดการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย ไทยเบฟได้นำแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจที่เตรียมไว้มาปรับใช้และดำเนินการอย่างทันท่วงที ทำให้ธุรกิจของบริษัทยังคงดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องไม่เกิดผลกระทบต่อพนักงานและผู้มีส่วนได้เสียอื่น ๆ โดยไทยเบฟได้ใช้มาตรการที่มีประสิทธิภาพดังต่อไปนี้เพื่อตอบสนอง รับมือ และบรรเทาผลกระทบของโรคไวรัสโควิด-19
ไทยเบฟกับภาระกิจรับมือ โควิด-19
ไทยเบฟมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรคสังคมให้ยั่งยืน บริษัทเห็นความสำคัญของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก หรือภายในองค์กร บริษัทตั้งเป้าที่จะดูแลพนักงานในเครือทุกคนอย่างเต็มที่ และให้การติดไวรัสโคโรน่า 2019 เป็นศูนย์
มาตรการป้องกันและดูแลพนักงาน

การจัดตั้ง “ศูนย์บริการพนักงานช่วงวิกฤต COVID-19” (COVID-19 Relief Center)
หรือ CRC เป็นศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูล ประสานงานให้ความช่วยเหลือให้กับพนักงาน ครอบคลุมการดูแลพนักงาน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการจัดการ และการดำเนินการด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยพนักงาน และด้านการสื่อสารข้อมูลทั้งภายในและภายนอกองค์กรที่จำเป็นสำหรับพนักงาน


มาตรการความปลอดภัยเบื้องต้น
เช่น การจัดวางเจลแอลกอฮอล์ตามจุดต่างๆ การวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าอาคารสำนักงาน การทำความสะอาดจุดสัมผัสทุกๆ 2 ชั่วโมง การให้บริการอบโอโซนเครื่องปรับอากาศในทุกอาคาร การมอบอุปกรณ์ป้องกันการสัมผัสและลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เช่น หน้ากากอนามัย ถุงมือยาง ให้แก่พนักงานกลุ่มที่ยังจำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่ในสถานที่ทำงานเดิม (Work on Site) เพื่อดำรงไว้ซึ่งความต่อเนื่องของธุรกิจ และยังได้มอบเอทิลแอลกอฮอล์ 72% สำหรับพนักงานเพื่อดูแลความสะอาดสำหรับตนเองและคนในครอบครัวอย่างต่อเนื่อง

มาตรการการป้องกัน การเฝ้าระวังการลดความเสี่ยง การสื่อสารแก่พนักงานด้านแนวทางปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับมาตรการเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติงานในสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 โดยแบ่งพนักงานออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

กลุ่มที่ 1 พนักงานที่จำเป็นต้องปฏิบัติงานในสถานที่เดิม
กลุ่มที่ 2 พนักงานที่จำเป็นต้องทำงานด้วยกัน เพื่อทำภารกิจให้สำเร็จในเวลาที่กำหนดและสามารถทำงานในสถานที่ปฏิบัติการสำรองได้
และกลุ่มที่ 3 พนักงานที่สามารถปฏิบัติงานจากที่บ้านได้ และสามารถส่งมอบผลลัพธ์ของงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

และเป็นการลดความเสี่ยงในการติดเชื้อแบบกลุ่ม และในระหว่างวันที่ 1-30 เมษายน 2563 ได้จัดให้พนักงานปฏิบัติงานจากที่บ้าน (Work from Home) และสามารถทำการประชุมงานร่วมกันได้ผ่านโปรแกรม Zoom และ Microsoft Team โดยบริษัทได้สงวนสิทธิในการพิจารณาปรับเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติงาน ตามที่ประกาศ และปรับรูปแบบการทำงานให้สอดคล้องกับยุคดิจิตอล โดยพนักงานจะต้องลงทะเบียน ผ่านแอปพลิเคชั่น Beverest Life วันละสามครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานอยู่ห่างไกลจากพื้นที่สุ่มเสี่ยง

มาตรการคุ้มครองสวัสดิภาพพนักงาน
  • ไทยเบฟจัดซื้อประกันภัยคุ้มครองอุบัติเหตุและไวรัสโควิด-19 จาก บริษัทอาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยมีมูลค่าความคุ้มครอง 100,000 บาทต่อคน มอบให้แก่พนักงานทุกคนทุกตำแหน่งงานทุกกลุ่มธุรกิจไทยเบฟและพนักงานในเครือ TCC Group รวมจำนวนกว่า 50,000 คน
  • ไทยเบฟดูแลด้านการบริโภคในครัวเรือนของพนักงาน ด้วยการจำหน่ายน้ำดื่มราคาพิเศษ สำหรับพนักงานทั่วประเทศ และให้การสนับสนุน “ถุงน้ำใจไทยเบฟ” เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนสำหรับพนักงานกลุ่มที่ขาดรายได้อันเนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19
  • ไทยเบฟหาอาชีพเสริมให้แก่พนักงานเชียร์เบียร์และพนักงานเครือโออิชิที่เป็นพนักงานให้บริการในร้านอาหาร ผ่านการขายสินค้าทางช่องทาง Online และขยายขอบเขตสินค้าเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถมีรายได้ในการเลี้ยงชีพช่วงวิกฤติได้
  • ไทยเบฟ “ลดการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม” สำหรับนายจ้าง และผู้ประกันตน (พนักงาน) เป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยเริ่มมีผลฯ ตั้งแต่เดือนมีนาคม – พฤษภาคม 2563 ตามประกาศของกระทรวงแรงงาน เพื่อบรรเทาภาระให้แก่ผู้ประกันตนซึ่งเป็นพนักงานกลุ่มไทยเบฟด้วยเช่นกัน โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินการหักเงินส่วนเกินคืนให้แก่พนักงาน ผ่านบัญชีเงินเดือนของเดือนเมษายน 2563 แก่พนักงานทุกคน โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์ที่พนักงาน (ในฐานะ ผู้ประกันตน) พึงได้รับในปัจจุบัน


มาตรการรับมือด้านการดำเนินธุรกิจและเพื่อสังคม
  • ศูนย์ปฎิบัติการพิเศษในสถานการณ์ COVID-19 หรือ Situation Room ถูกจัดตั้งขึ้นในเดือน มีนาคม 2563 ให้เป็นศูนย์กลางในการติดตามข่าวสาร ประสานงาน กำหนดกรอบนโยบาย ขั้นตอนการปฎิบัติและแนวทางการดำเนินการร่วมกับศูนย์ประสานงานหลัก 7 ศูนย์ของไทยเบฟ ที่ดูแลในด้านการจัดซื้อ การผลิต การจัดส่งและกระจายสินค้า ช่องทางการจัดจำหน่าย เทคโนโลยีสารสนเทศ บุคลากรองค์กร และการสื่อสารองค์กร โดยศูนย์ปฎิบัติการพิเศษหน้าที่ในการ รวบรวม วิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 จากทุกแหล่งข่าวทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และสังคม ครอบคลุมทั้งภายในและต่างประเทศเพื่อหาหาแนวทางป้องกันปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อองค์กร ศูนย์ปฎิบัติการพิเศษฯ นี้ ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจของไทยเบฟเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่หยุดชละงัก สามารถจัดส่งสินค้าเพื่อกระจายถึงมือผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงการประกาศภาวะสถานการณ์ฉุกเฉินของภาครัฐ ไทยเบฟได้มีการการวางแผนการผลิตน้ำดื่ม การขาย การบริหารรขนส่ง นำส่งน้ำดื่มกว่า 18 ล้านแพค เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั่วประเทศ และสามารถช่วยให้องค์กร และพนักงานขององค์กรมีความพร้อม สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้ดี ศูนย์ปฎิบัติการพิเศษฯ สามารถติดตาม รวบรวมข้อมูลพนักงานจากการลงทะเบียนผ่านระบบดิจิทัลในแอปพลิเคชั่น Beverest Life ได้กว่า 98% ซึ่งพบว่าไม่มีพนักงานคนใดในองค์กรติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในการระบาดครั้งนี้
  • การประเมินความเสี่ยงในคู่ค้า ไทยเบฟได้มีการขยายการประเมินความเสี่ยงทางธุรกิจโดยส่งแบบประเมินความเสี่ยงให้แก่คู่ค้าหลักระดับ Tier 1 และ Tier 2 รวมทั้งสิ้น 658 ราย ซึ่งครอบคลุมมูลค่าการสั่งซื้อมากกว่า 80% ของการสั่งซื้อทั้งหมด 27,500 ล้านบาทต่อปี โดยได้สำรวจการเตรียมความพร้อมในการบริหารธุรกิจให้ยังคงดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดชะงักและให้คำแนะนำการวางแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ Business Continuity planning (BCP) เพื่อให้คู่ค้าสามารถรับมือกับความเสี่ยงต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การรับรองมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า ไทยเบฟและบริษัทในเครือ จัดทำคู่มือสำหรับพนักงานในการดูแลสุขภาพและป้องกันการติดเชื้อไวรัส COVID-19 เพื่อสร้างบรรทัดฐานการให้บริการ และความมั่นใจด้านผลิตภัณฑ์ที่อยู่ภายใต้แบรนด์ของเครือไทยเบฟ เพื่อสุขอนามัยที่ดี ปลอดภัยจากการปนเปื้อน ตั้งแต่ระดับพนักงานในโรงงาน สำนักงาน จุดจำหน่ายสินค้า ร้านอาหารทุกสาขาทั่วประเทศ ที่ให้บริการส่งมอบอาหารปลอดภัยก่อนไปถึงมือผู้บริโภค (ลูกค้า) โดยถือเป็นข้อปฏิบัติสำหรับพนักงานทุกคนที่ต้องปฏิบัติตามคู่มืออย่างเคร่งครัด นอกเหนือจากนี้ ยังมีการดูแลในส่วนของตัวแทนคู่ค้ากว่า 200,000 ราย โดยรณรงค์พนักงาน CVM กว่า 2,400 คนทั่วประเทศ ตอบรับมาตรการดูแลและป้องกันไวรัส COVID-19 ของกลุ่มไทยเบฟ จากแนวนโยบายให้พนักงานร่วมกันตระหนักป้องกันและเฝ้าระวังในการปฏิบัติตัวส่วนบุคคล สู่การสร้างความมั่นใจให้แก่ร้านค้าทั่วประเทศในฐานะคู่ค้าคนสำคัญ กับมาตรการสวมหน้ากากอนามัย พกเจลล้างมือ และใส่ถุงมือขณะปฏิบัติหน้าที่ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากทุกจุดสัมผัสที่อาจได้รับการปนเปื้อน ตลอดจนถึงการส่งมอบสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ การจัดเรียงสินค้า และการรับเงินสด เพื่อช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไปสู่กลุ่มบุคคลอื่นๆ ในสังคม ซึ่งเริ่มดำเนินการแล้วตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
  • การเชิญชวนพนักงานทำกิจกรรม Snap & Share : ภารกิจ .. พิชิตความสตรอง สนับสนุนให้พนักงานถ่ายภาพผ่าน Beverest Life Application เมื่อพบเห็นสินค้าในกลุ่มไทยเบฟขาดสต็อก โดยแจ้งรายละเอียด วัน เวลา สถานที่ประเภทสินค้า เพื่อให้บริษัทสามารถเติมเต็มและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่องและไม่สะดุด
  • การขยายขอบเขตการให้บริการในธุรกิจต่างๆ อาทิ การขอใบอนุญาตขายสินค้าแก่ผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ของบริษัทในเครือ อย่าง Horeca ที่ให้บริการจัดจำหน่ายน้ำดื่มเฉพาะระหว่างพนักงานในบริษัทเท่านั้น การจัดทำ โปรโมชั่นสู้ภัย COVID-19 ในสินค้าเครือโออิชิ การปรับบริการเป็น Online Delivery การรณรงค์สั่งสินค้า Take home และการบริการส่งมอบอาหารปลอดภัยถึงมือผู้บริโภค
  • มอบอุปกรณ์ด้านการแพทย์ ส่งมอบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจากแอกอฮอล์เพื่อใช้ในเชิงการแพทย์ โดยผสานความร่วมมือกับ กระทรวงมหาดไทย และสภากาชาดไทย เพื่อส่งมอบไปยังชุดปฏิบัติการ และหน่วยบริหารสาธารณสุขครอบคลุมทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศ จำนวนรวมกว่า 190,000 ลิตร นอกจากนี้ ยังได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจากแอกอฮอล์ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์และพยาบาลในโรงพยาบาลต่างๆ หน่วยงานด้านสาธารณสุข ชุดปฏิบัติการจังหวัด ท่าอากาศยาน รวมจำนวนกว่า 600,000 ลิตร พร้อมกันนี้ได้มอบประกัน COVID-19 ให้แก่แพทย์และพยาบาลกว่า 1,000 คน เพื่อเป็นกำลังใจในการปฎิบัติหน้าที่รักษาผู้ป่วย
  • มอบน้ำดื่มคริสตัลน้ำดื่มคุณภาพ ให้กับหน่วยงานตำรวจและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องปฎิบัติงานประจำด่านตรวจไวรัส COVID-19  พร้อมมอบบริการจำหน่ายเครื่องดื่มในเครือเสริมสุขถึงบ้านผู้บริโภค
  • รณรงค์เพื่อหยุดการระบาด ดำเนินการสนับสนุนข้อความประชาสัมพันธ์รณรงค์ #อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ บนสื่อประเภทป้ายไฟ (LED) ที่อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัทฯ จำนวนกว่า 190 ป้าย คิดเป็นมูลค่าสื่อ 2.83 ล้านบาท และประสานความร่วมมือไปยังพันธมิตรทางธุรกิจในการสนับสนุนการสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อความดังกล่าว
การร่วมมือเพื่อขยายความช่วยเหลือ
ดำเนินการผสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ อาทิ บริษัทคู่ค้า และบริษัทในเครือข่ายภาคเอกชน ด้านการผลิตเจลแอลกอฮอล์เพื่อบริจาค และสนับสนุนการผลิตเครื่องสำอางค์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ และการส่งความห่วงใยร่วมกันไปยังหน่วยงาน และ/หรือ พื้นที่ที่จำเป็น
  • การผนึกกำลังกับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) GC Group ในการกู้วิกฤต COVID-19 ส่งมอบเจลแอลกอฮอล์ขนาด 50 ซีซี ภายใต้ตราสินค้า “Gelco” จำนวน 1,000,000 ขวด ให้กระทรวงสาธารณสุข และ อสม.ทั่วประเทศ ทั้งนี้ เมื่อรวมปริมาตรแอลกอฮอล์ที่บริษัทฯ ได้บริจาคไปยังกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง อาทิ พนักงานภายใน คู่ค้า เครือข่ายพันธมิตร จำนวนกว่า 200,000 ลิตร และหน่วยงานภายนอกต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นรวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น กว่า 1,600,000 ลิตร
  • บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ร่วมกับหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ภายใต้โครงการ “โออิชิ ให้ สู้ภัยโควิด-19” มอบเงินบริจาค ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มโออิชิ รวมมูลค่า 24 ล้านบาท ผ่านสภากาชาดไทย เพื่อนำไปส่งมอบให้แก่ 7 โรงพยาบาล ส่งต่อกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ต้านภัยโควิด-19
  • โครงการ #ช้างศึกทำด้วยใจส่งให้โรงพยาบาล CHANGSUEK COOK FROM HOME โดยความร่วมมือระหว่าง สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ เครื่องดื่มตราช้าง ส่งมอบอาหารเมนูพิเศษของนักเตะทีมชาติไทย ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี โรงพยาบาลรามาธิบดี สถาบันโรคทรวงอก เพื่อเป็นกำลังใจและสนับสนุนการทำงานในช่วงวิกฤติการณ์โควิด-19
  • การสมทบทุนกองทุนรับมือโรคโควิด 19 ให้มูลนิธิชัยพัฒนา มูลค่า 101 ล้านบาท
  • การดำเนินการสนับสนุนข้อความประชาสัมพันธ์รณรงค์ #อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ บนสื่อประเภทป้านไฟ (LED) ที่อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัทจำนวนกว่า 190 ป้าย คิดเป็นมูลค่าสื่อ 2.83 ล้านบาท และประสานความร่วมมือไปยังพันธมิตรทางธุรกิจในการสนับสนุนสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อความดังกล่าว
  • การดูแลสิ่งแวดล้อมควบคู่กับสังคมช่วงวิกฤติ COVID-19 ไทยเบฟ ถือเป็นหนึ่งในสมาชิกเครือข่ายเพื่อความยั่งยืนแห่งประเทศไทย ได้ร่วมจับมือกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม เปิดตัวโครงการ “ส่งพลาสติกกลับบ้าน” รับมือวิกฤตขยะจากสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ตั้งเป้าเพิ่มอัตรา รีไซเคิล พัฒนาระบบเก็บคืนขยะ เนื่องจากพบว่าในช่วงวิกฤติ COVID-19 ขยะพลาสติกจากบริการเดลิเวอรี่มีเพิ่มขึ้น 15% ขณะที่ขยะอาหารและขยะติดเชื้อจากการใช้หน้ากากอนามัยมีเพิ่มมากเช่นกัน จึงตระหนึกถึงปัญหาและร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อดูแลสิ่งแวดล้อมควบคู่กับสุภาพของคนในประเทศ
  • โครงการ ไทยเบฟช่วยชุมชน ช่วยช้าง ฝ่าวิกฤตโควิด-19  สนับสนุนผลไม้ที่ล้นตลาดจากเกษตรกรทั่วประเทศกว่า 153 ราย เพื่อนำผลไม้ อาทิ มะม่วง ลำไย มะละกอ รวมปริมาณกว่า 31,500 กิโลกรัม ไปเป็นอาหารช้างในสถานการณ์ที่ปางปิดไม่มีรายได้ เพื่อเลี้ยงช้าง 775 เชือก โดยร่วมมือกับสมาคมสหพันธ์ช้างไทย ในการการคัดสรรพื้นที่ที่ช้างขาดแคลนอาหาร
  • มูลนิธิบางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ ร่วมกับ ไทยเบฟ รวมพลังศิลปิน หนุนเกษตรกรฝ่าวิกฤต COVID-19 ในแคมเปญ “แมงโก้โควิด” โดยการนำมะม่วงมาสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ หรือทำเมนูต่างๆ จนเกิดกระแสในวงกว้าง ตอกย้ำให้เห็นว่าศิลปะสามารถเยียวยา สร้างความตระหนักรู้ถึงปัญหาปากท้องของพี่น้องคนไทยในสถานการณ์วิกฤติ นอกจากนี้ยังต่อยอดไปถึงการระดมทุนผ่านการขายงานศิลปะจากศิลปิน เพื่อนำเงินไปช่วยเหลือ นิสิต นักศึกษาศิลปะที่กำลังจะจบการศึกษาแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ หรือที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ให้สามารถเรียนต่อ และเริ่มต้นอาชีพได้
  • การจัดการประกวดภาพถ่ายหัวข้อ “จนกว่าจะพบกันใหม่” โดยสนับสนุนช่างภาพที่ได้รับผลกระทบ ร่วมกันถ่ายภาพบรรยากาศ การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เหตุการณ์ของเมืองไทยในช่วงวิกฤติโควิด และนำส่งภาพบันทึกในจดหมายเหตุ

วิกฤตินำมาซึ่งธุรกิจใหม่
  • ไทยเบฟได้ทำการก่อสร้างศูนย์ตรวจไวรัส COVID-19 ซึ่งตั้งอยู่บนศูนย์นอร์ธปาร์ค ถนนวิภาวดี เพื่อเป็นศูนย์ตรวจวิเคราะห์ทางการแพทย์ ในวงเงินประมาณ 19,220,000 บาท และเปิดใช้งานในวันที่ 16 เมษายน 2563 ส่งผลให้พนักงานและประชาชนทั่วไปสามารถลดค่าใช้จ่ายในการตรวจหาไวรัสโคโรนา 2019 ได้
  • การจัดตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคม ร่วมกับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เพื่อจำหน่าย และแจกเจลแอกอฮอล์ ภายใต้ตราสินค้า “Gelco” จำนวน 1 ล้านขวดๆ ละ 50 มิลลิลิตร ให้แก่ อสม. กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวง สาธารณสุข ทั่วประเทศ โดยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจากแอลกอฮอล์ที่ใช้ในการบริจาคนี้ดำเนินการผลิต โดย บริษัท เบฟเทค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในกลุ่มบริษัทไทยเบฟ ซึ่งได้รับการรับรองจากสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
  • โรงงานผลิตหน้ากากอนามัย และ ผ้าเช็ดมือ Alcohol Pad ไทยเบฟได้ทำการสั่งซื้อเครื่องทำหน้ากากที่ทันสมัย ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องรุ่นที่ทันสมัย เครื่องที่ 4 ในประเทศไทย เพื่อผลิตหน้ากากทางการแพทย์ (กำลังการผลิต 3 ล้านชิ้น/เดือน) รวมถึงการผลิตหน้ากาก N95 (กำลังการผลิต 1.2 ล้านชิ้น/เดือน) กำหนดการสร้างโรงงานน่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดดำเนินงานในเดือน พ.ค. เพื่อจำหน่ายและแจกจ่ายสินค้าหน้ากากอนามัยและหน้ากาก N95 ให้แก่พนักงาน และชุมชนที่เดือดร้อนต่อไป
ข่าวสารและความเคลื่อนไหว
เปิดมหกรรมความยั่งยืน SX 2022 ชูพันธกิจความร่วมมือมิติใหม่ สร้างสมดุลที่ดีเพื่อโลก
ไทยเบฟ ร่วมกับ สถาบันน้ำฯ (สสน.) วางโมเดล บริหารความเสี่ยง-จัดการน้ำของชุมชนอย่างยั่งยืน
ไทยเบฟกับโควิด 19
ไทยเบฟได้ยึดมั่นในการปฎิบัติตามนโยบายทางด้านสุขภาพและโภชนาการ รวมถึง อาชีวอนามัยและความปลอดภัยของพนักงาน พันธมิตรทางธุรกิจ รวมถึงผู้บริโภค
เวทีแสดงวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนขององค์กรชั้นนำ เพื่อแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม
บริษัท ซีเอซี จำกัด (C asean) จัดงาน Thailand Corporate Sustainability Symposium เวทีแสดงวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนขององค์กรชั้นนำ เพื่อแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม
UNEP Conference
บริษัท ซี เอ ซี จำกัด (C asean) ตอกย้ำการเป็นผู้นำของศูนย์กลางความเชื่อมโยงเครือข่าย การทำงานทุกภาคส่วนสู่การพัฒนาประเทศเพื่อความยั่งยืนในระดับภูมิภาคอาเซียน