หน้าแรก / แบ่งปันคุณค่าให้คนทั่วโลก
ความผาสุกของพนักงาน
ไทยเบฟให้ความสําคัญกับความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน ในขณะเดียวกันก็มุ่งมั่นให้เกิดความปลอดภัยให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานทุกส่วน โดยไทยเบฟจัดทําแนวทางและวางระบบการจัดการด้านความปลอดภัยเพื่อให้มั่นใจว่าได้ปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานสากลด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม ซึ่งรวมถึงมาตรการป้องกันความเสี่ยงอุบัติเหตุ การบาดเจ็บ และการเจ็บป่วยอันเนื่องจากการปฏิบัติงาน ไทยเบฟยังได้ปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทํางานที่ส่งเสริมความผาสุกทางร่างกาย อารมณ์ และสุขอนามัยของพนักงาน ตลอดจนคุณภาพชีวิตในการทํางาน และเพื่อเตรียมการรับมือกับการระบาด ของโรคโควิด-19 ไทยเบฟได้พัฒนาแผนการจัดการโรคระบาดเพื่อเพิ่มความปลอดภัยอย่างสูงสุดให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด
กลยุทธ์
เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานทางกฎหมาย ไทยเบฟได้กําหนดแนวทางด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน ไว้ 4 ด้าน ได้แก่

ด้านความ ปลอดภัย

ด้านอาชีวอนามัย

ด้านสภาพแวดล้อม ในการทำงาน

ด้าน ความผาสุก
แนวทางการบริหารจัดการ
ในปีนี้ไทยเบฟพยายามสร้างความแข็งแกร่งมากขึ้น โดยมุ่งเน้นการพัฒนาพนักงาน อุปกรณ์ ขั้นตอน ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐาน ในปี 2564 ไทยเบฟยังคงเฝ้าระวังและรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสวัสดิภาพของพนักงาน
ก้าวสู่ปี 2568
  • ส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัยและขยายกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาชีวอนามัย และสภาพเเวดล้อมในการทํางานที่ปลอดภัย สู่บริษัทในเครือของไทยเบฟในภูมิภาคอาเซียน
  • ตั้งเป้าหมายลดอัตราการเสียชีวิตเป็นศูนย์
  • อัตราความถี่การบาดเจ็บถึงขั้นหยุดงาน (LTIFR) ของปี 2564 ลดลง
    • อัตราความถี่การบาดเจ็บถึงขั้นหยุดงาน (LTIFR) ของ พนักงานลดลงจาก1.7 เป็น1.43
    • อัตราความถี่การบาดเจ็บถึงขั้นหยุดงาน (LTIFR) ของผู้รับเหมาลดลงจาก 1.74 เป็น 0.69 ซึ่งการลดลงนี้สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทในการบรรลุ LTIFR ที่ต่ํากว่า 1.0 ภายในปี 2568
  • ปลูกฝังวินัยความปลอดภัยทางถนนให้กับพนักงาน โดยจัดการอบรมและกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมความปลอดภัย โครงการนี้จะขยายผลไปยังพนักงานในภูมิภาคอื่น ๆ รวมถึงพันธมิตรทาง ธุรกิจ เพื่อให้เกิดการลดอัตราการเสียชีวิตจากการขับขี่ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุอันเนื่องมาจากการละเมิดกฎหมายจราจรและการขาดวินัยด้านความปลอดภัยทางท้องถนน
  • สร้างเครือข่ายเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในกลุ่มไทยเบฟทั่วอาเซียนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกิจกรรมด้านความปลอดภัยและช่วยให้มีการสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลเป็นวงกว้าง จัดให้มีการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยขั้นสูงแก่เจ้าหน้าที่อย่างสม่ําเสมอ
  • ทํางานร่วมกับพนักงานเพื่อจัดการแนวทางสุขภาพใหม่เชิงรุกสร้างความตระหนัก ส่งเสริมให้พนักงานออกกําลังกายและรักษาสุขอนามัยที่ดี ลดความเครียดจากการทํางาน และให้วัคซีนป้องกันโรคที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ แก่พนักงาน เพื่อส่งเสริมสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงการทํางานอย่างมีความสุขมากขึ้นอีกด้วย
ความมุ่งมั่นและความสำเร็จ
ไทยเบฟมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายที่จะทำให้อัตราการเสียชีวิตเป็นศูนย์มาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม ในปี 2564 มีพนักงานสองคนและผู้รับเหมาหนึ่งคนเสียชีวิต ซึ่งจากเหตุการ์นี้เอง ทางบริษัทฯได้ทำการวิเคราะห์สาเหตุที่แท้จริง เสริมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยด้วยกำหนดตัวชี้วัดด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (Occupational Health and Safety: OHS KPI) ไปสู่ทุกฝ่ายและริเริ่มโครงการด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ซึ่งรวมถึงการบังคับใช้นโยบายรถยนต์ที่เข้มงวดและทำการอบรมด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย การใช้อุปกรณ์นิรภัยส่วนบุคคล ( PPE) ที่เหมาะสม จัดให้มีการพูดคุยรายวันเรื่องความปลอดภัย การควบคุมดูแลระเบียบการปฏิบัติการที่เข้มงวด เป็นต้น
การดำเนินการในปี 2564
การทํางานจากบ้าน (Work from home)
ไทยเบฟได้ดําเนินนโยบายการทํางานจากที่บ้านท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออํานวยและเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน ซึ่งรวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น ฝุ่นPM2.5 ความไม่สงบทางการเมือง และการระบาดของโรค ทั้งนี้ไทยเบฟได้ประกาศใช้มาตรการที่เข้มงวดสําหรับการทํางานจากที่บ้านในช่วงโควิด-19 เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานทุกคนปลอดภัยในสถานการณ์นี้ โดยไทยเบฟสนับสนุนการทํางานจากที่บ้านด้วยการฝึกอบรมพนักงาน และจัดหาอุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ รวมถึงได้มีการปรับโปรแกรมสุขภาพเพื่อส่งเสริมการออกกําลังกาย และการจัดการกับความเครียด นอกจากนี้ไทยเบฟยังได้จัดให้เกิดการทํางานที่มีประสิทธิภาพจากที่บ้านแก่พนักงานที่มีความพิการซึ่งไม่สามารถเดินทางไปที่ทํางานได้อีกด้วย
Beverest Life

ในปี 2563-2564 ไทยเบฟได้ดําเนินการใช้ระบบเช็คอินเข้าทํางานแบบไร้สัมผัสผ่านแอปพลิเคชันภายใน Beverest Life ซึ่งถูกดําเนินการโดยทีมทรัพยากรบุคคล โดยแอปพลิเคชันนี้จะถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการความปลอดภัยและมาตรฐานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทํางาน ลดการสัมผัส และลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายของ โรคโควิด-19 .