คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้รับภารกิจสำคัญให้เป็นหัวหน้าคณะทำงานภาคเอกชน ร่วมกับพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานภาครัฐ ขับเคลื่อนงานพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ ในโครงการ “สานพลังประชารัฐ” ซึ่งดำเนินการภายใต้นโยบายสำคัญของรัฐบาลในการนำภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และภาคประชาชน มาร่วมกันแก้ไขปัญหาและคิดหาแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ
คณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ ได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และศาสตร์พระราชาด้านการพัฒนา คือ
“เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) เพื่อช่วยสร้างโอกาส สร้างรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิต และพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน พร้อมทั้งได้น้อมนำพระปฐมบรมราชโองการ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 10) อันได้แก่
“เราจะสืบสาน รักษา ต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป” มาเป็นกรอบแนวคิดและหลักในการดำเนินงาน เน้นการทำงานใน 3 กลุ่มงาน ได้แก่ เกษตร แปรรูป และท่องเที่ยว
จึงได้ร่วมกันจัดตั้ง
“บริษัทในรูปแบบวิสาหกิจเพื่อสังคม” ภายใต้ชื่อ
“บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด” จำนวน 76 จังหวัดทั่วประเทศ พร้อมทั้งจัดตั้งบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด ผนึกกำลังร่วมกับ บริษัทเอกชน 20 บริษัท เพื่อเป็นหน่วยงานกลางในการประสานความเชื่อมโยงระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ จนประสบความสำเร็จ สร้างรายได้ให้กับชุมชนทั่วประเทศกว่า 60,000 ครัวเรือน มีรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึง 543 ล้านบาท เป็นผลให้การเติบโตของยอดขายสินค้าชุมชน (OTOP) เติบโตขึ้นจาก 109,000 ล้านบาท ในปี 2558 เป็น 125,208 ล้านบาท ในปี 2560 เป็น 154,000 ล้านบาท และ 190,000 ล้านบาท ในปี 2561 และ 2562 ในอัตราร้อยละ 15 , 23 และ 24 ตามลำดับ
- ซึ่งเป็นอัตราที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ซึ่งเติบโตในอัตรา 3-4% ต่อปี เป็นพลังผลักดันให้รัฐบาลกำหนด พระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ.2562 จากการที่ร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนงานโดยผ่านรูปแบบของวิสาหกิจเพื่อสังคม ทำให้รัฐบาลเห็นถึงความสำคัญของวิสาหกิจเพื่อสังคมที่จะเป็นเวทีความร่วมมือ อันจะนำไปสู่ความยั่งยืนตามเป้าหมายความยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ทั้ง 17 ข้อ จึงได้ตราพระราชบัญญัติวิสาหกิจ
|
องค์ความรู้
1. สร้างวิชาชีพในระดับชุมชน เช่น โครงการ OTOP
2. ให้ความรู้แก่เยาวชน |
|
สิ่งแวดล้อม
1. อนุรักษ์ธรรมชาติ เช่น ผืนป่า ผืนดิน ต้นน้ำ ท้องทะเล
2. สร้างวินัยในการจัดการขยะอย่างเป็นรูปธรรม
3. รณรงค์การบริหารจัดการ น้ำเสีย |
เริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม 2559 เป็นต้นมา โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพ เทคนิคการผลิต ตลอดจนการแปรรูปสินค้าจากผ้าขาวม้าทอมือให้มีความหลากหลาย ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อสร้างมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ซึ่งอยู่คู่กับชนบทไทยมาเป็นเวลายาวนานให้เพิ่มสูงยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการช่วยเพิ่มรายได้ให้ชุมชนอย่างยั่งยืนอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีการเฟ้นหาผ้าขาวม้าที่มีอัตลักษณ์ที่โดดเด่นจากชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมถึงการเปิดโอกาสให้นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ได้มีเวทีแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ผ่านการออกแบบผ้าขาวม้าทอมือในสาขาต่าง ๆ โดยในปี 2562 ได้ผสานความร่วมมือกับชุมชนผ้าขาวม้าเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมให้กับผ้าขาวม้าไทยด้วยการผลิตมาลัยกรผ้าขาวม้าและช่อดอกไม้บูเกต์ผ้าขาวม้า พร้อมสนับสนุนให้ผู้ชนะการประกวดออกแบบชิ้นงานผ้าขาวม้า
“นวอัตลักษณ์” เดินทางไปศึกษาดูงานที่สถาบันสอนออกแบบและแฟชั่นระดับโลก Bunka Fashion College และงาน IFF Magic ณ ประเทศญี่ปุ่น พร้อมจัดโครงการประกวดออกแบบและพัฒนาสินค้าผ้าขาวม้าเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ภายใต้แนวคิด
“อัตลักษณ์แห่งคุณค่า ผ้าขาวม้าอาเซียน” (ASEAN METROPOLIS) ซึ่งมีผู้สนใจส่งเข้าประกวดจำนวน 282 ผลงาน ใน 4 สาขา ได้แก่ ออกแบบแฟชั่น ออกแบบเครื่องประดับ ออกแบบเคหะสิ่งทอ และออกแบบลายผ้า ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทยสามารถเพิ่มรายได้ให้แก่ชุมชนผู้ผลิตผ้าขาวม้าที่เข้าร่วมโครงการ 15 ชุมชน กว่า 3 เท่า รวมรายได้กว่า 51 ล้านบาท
ย่ามอยู่คู่กับคนไทยมาตั้งแต่อดีต เป็นสิ่งสะท้อนเอกลักษณ์ของชาติพันธุ์และวิถีชีวิตของชุมชน ก่อนที่ย่ามไทยจะถูกลืมเลือนไปโดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ไทยเบฟจึงสนับสนุนให้ริเริ่ม
“โครงการสะพายสายแนว” ในเดือนเมษายน ปี 2561 เพื่อพัฒนาการออกแบบและยกระดับย่ามไทยให้ทันสมัยตรงใจผู้บริโภค และสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กับชุมชน โดยได้รับความร่วมมือจากพันธมิตร เช่น สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ ช่วยพัฒนาด้านเทคนิคการทอผ้า สี ลายผ้า และดีไซเนอร์จิตอาสาที่มาช่วยด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สวยน่าสนใจ ทั้งนี้ ไทยเบฟทำงานร่วมกับบริษัทประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด ช่วยส่งเสริมในด้านตลาดและสนับสนุนด้านการขายทั้งในงานอีเวนต์ต่าง ๆ รวมถึงการขายผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น เฟสบุ๊ค (Facebook) และอินสตาแกรม (Instagram) โดยใช้ชื่อ SapaiSainaew (สะพายสายแนว) ทีมงานยังได้พาชุมชนนำสินค้าไปขายในงานอีเวนต์ต่าง ๆ เช่น งานบ้านและสวน งาน OTOP รวมไปถึงตลาดต่างประเทศ ทำให้ชาวบ้านมีรายได้ต่อครัวเรือนมากขึ้นหลายเท่า
ปัจจุบันโครงการสะพายสายแนวมีจำนวนสมาชิก 2,932 ราย ในกว่า 20 จังหวัด สามารถทำรายได้รวมกันสูงถึง 10 ล้านบาทใน 16 เดือนที่ผ่านมา (เมษายน 2561- กันยายน 2562) นอกจากการสร้างอาชีพแล้ว ลูกหลานที่ออกไปหางานทำนอกภูมิลำเนายังกลับมาช่วยงานพ่อแม่เพื่อต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทำให้ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่กลางปี 2560 ร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ มหาวิทยาลัย โดยมีเครือข่าย
“ประชารัฐรักสามัคคี” เป็นผู้ประสานงานชุมชนเพื่อหาแหล่งพื้นที่ผลิตวัตถุดิบที่ปลอดภัยทั้งภายในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียง การรวมกลุ่มเกษตรกร รวบรวมวัตถุดิบ บริการจัดส่งการขนส่งไปยังโรงพยาบาลในจังหวัดที่เข้าร่วมโครงการ เป้าหมายสำคัญคือ การสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่มีตลาดในการส่งผักผลไม้ปลอดภัยอย่างยั่งยืน ประชาชนในประเทศมีสุขภาพดี และมีความสุข ปัจจุบันเครือข่าย
“ประชารัฐรักสามัคคี” ใน 29 จังหวัด สามารถจัดส่งสินค้าเกษตรปลอดภัยเข้าสู่โรงพยาบาลได้จำนวน 41 แห่งทั่วประเทศ สร้างรายได้ให้ชุมชนไปแล้วกว่า 63 ล้านบาท