การพัฒนาที่ยั่งยืน |
ไทยเบฟได้รวมความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไว้ในกระบวนการบริหารความเสี่ยงของบริษัท โดยคณะกรรมการบริหารความยั่งยืนและความเสี่ยงจะเป็นผู้จัดอันดับและติดตามผลของความเสี่ยงดังกล่าวในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการยุทธศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศของไทยเบฟในการระบุการเปลี่ยนแปลงและความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งนี้คณะกรรมการฯ ประกอบด้วยคณะกรรมการบริษัท ผู้บริหารระดับสูง และกรรมการอิสระ โดยทั้งหมดได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่กำหนดนโยบายด้านการบริหารความยั่งยืนและความเสี่ยง คณะกรรมการฯ จะคอยติดตามผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท รวมถึงวางแผนการดำเนินการบริหารจัดการความเสี่ยงเพื่อลดผลกระทบใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้น .
ไทยเบฟให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายในองค์กร โดยจัดให้มีการสัมมนาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกับทุกหน่วยธุรกิจ เพื่อร่วมกันระบุความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลง (Transition Risk) ความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical Risk) รวมถึงโอกาสทางธุรกิจที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วย โดยผู้บริหารจากทุกหน่วยธุรกิจเข้าร่วมการสัมมนาเพื่อระดมความคิดช่วยกันระบุความเสี่ยงและโอกาสต่าง ๆ
ทั้งนี้ ตัวอย่างของความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical Risk) ได้แก่ การขาดแคลนน้ำและทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ ที่จะมีเพิ่มมากขึ้น สำหรับความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงด้านอื่น ๆ (Transition Risk) เช่น ข้อจำกัดด้านการผลิต การกำหนดเพดานการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และภาษีเชื้อเพลิงหรือคาร์บอน แต่ละหน่วยธุรกิจได้มีการจัดอันดับความเสี่ยงตามกระบวนการบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจของไทยเบฟ และสุดท้ายมีการระบุโอกาสที่อาจเกิดความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถวางแผนรองรับการเปลี่ยนแปลงได้โดยเร็วที่สุด โดยโอกาสที่ว่าประกอบด้วยผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ ประสิทธิภาพทรัพยากร วัตถุดิบ และพลังงานทางเลือก รวมถึงการมีส่วนร่วมและความร่วมมือจากคู่ค้า เพื่อประเมินโอกาสของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและลดความเสี่ยงอาจจะเกิดขึ้น ไทยเบฟได้เตรียมมาตรการต่าง ๆ ไว้แล้ว เช่น การศึกษาเพื่อประเมินความยั่งยืนของน้ำที่แหล่งที่ตั้งของโรงงาน 2 แห่ง คือ จังหวัดปทุมธานีและพระนครศรีอยุธยา เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรน้ำ และวางแผนที่จะทำการศึกษาเพิ่มเติมอีกจำนวน 5 แห่ง ภายในปี 2563
ไทยเบฟได้ประเมินความเสี่ยงจากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติ ที่อาจเกิดกับโรงงานผลิตทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศจนถึงปี 2573 เพื่อทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical Risk) และเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งศึกษาภัยธรรมชาติ ได้แก่ แผ่นดินไหว พายุไซโคลน ไฟป่า ภาวะความบีบคั้นทางทรัพยากรน้ำ น้ำท่วม แผ่นดินถล่ม ลมพายุ การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และคลื่นพายุ จากปัจจัยความเสี่ยงที่ระบุได้ ทำให้โรงงานผลิตแต่ละแห่งสามารถพัฒนาแผนบริหารความเสี่ยงและมาตรการลดความเสี่ยงที่เหมาะสม
ไทยเบฟใช้เทคนิคการประหยัดสิ่งแวดล้อมแบบรวดเร็ว (Quick Environment Saving Technique : QUEST) และเครื่องมือในการวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Marginal Abatement Cost Curve : MACC) เพื่อจำลองโครงการใหม่ เปรียบเทียบกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่หลากหลาย โดยไทยเบฟสามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อจำลองความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลง (Transition Risk) เช่น ข้อจำกัดด้านการผลิตหรือภาษีคาร์บอน โดยเริ่มดำเนินโครงการนี้ที่โรงงานสุรากระทิงแดง จังหวัดสมุทรสาคร
จากนั้นจึงดำเนินการกับหน่วยธุรกิจอื่น ๆ โดยมีการวิเคราะห์แผนการผลิตและโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งส่งผลทำให้ไทยเบฟมีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการรับมือกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายล่าสุด
ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทางตรง (Scope1) | |
ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทางอ้อม (Scope2) |
ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทางตรง (Scope1) | |
ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทางอ้อม (Scope2) |
ไทยเบฟได้ตั้งเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ให้สอดคล้องกับข้อเสนอที่ประเทศไทยกำหนดตามความตกลงปารีส เพื่อลดความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในทุกธุรกิจเครื่องดื่มลง 14%
ภายในปี 2568 (เปรียบเทียบกับฐานปี 2561) |